เรา รัก พระเจ้าอยู่หัว ^ ^
Best Team In My Heart
วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552
UFO มีจริงหรือไม่? รวมภาพ UFO จากทั่วโลก
มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าฉงน และชวนคิดเป็นอย่างมาก เพราะหากเปรียบเทียบโลกของเรากับจักรวาลแล้ว เราเป็นเพียงเศษเสี้ยว และยังมีดาวดวงอื่นในจักรวาลอีกหลายล้านๆดวง แบบนับไม่ถ้วน โลกเรานั้นโดดเดี่ยว และมีสิ่งมีชิวิตเพียงดวงเดียวของจักรวาล หรือว่า ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ดาวอื่นอีก แต่อาจอยู่ห่างกันมาก เป็นหลายล้านปีแสง (คือเดินทางได้เร็วเท่าแสง ยังใช้เวลาอีกเป็นล้านปีกว่าจะไปถึง) และเราก็ยังไม่มีความสามารถจะค้นพบและไปถึงกันแน่ อันนี้น่าคิดเป็นอย่างมาก เพราะนับถึงปัจจุบัน วิวัฒนาการของเราก็ไปได้แค่ดาวอังคาร คือถัดจากเราไปเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้น แต่ถ้าตามหลักพุทธ ซึ่งเป็นหลักแห่งธรรมชาติ พูดถึงจักรวาล ตั้งแต่ก่อนที่ กาลิเลโอ จะค้นพบกล้องส่องดูดาวเป็นพันปี และยังพูดถึงมีผู้บรรลุนิพพาน เหมือนพระพุทธเจ้าในจักรวาลนี้ มากกว่าเม็ดกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทรเสียอีก ซึ่งเหมือนจะแปลว่า มีสิ่งมีชีวิตในจักรวาลอีกมากมายอีกนับไม่ถ้วน หรือว่าเพราะจิต เดินทางเร็วกว่าแสง อย่างที่เขาว่ากันแน่นะ เรื่องเหล่านี้ คงต้องรอวิทยาศาสตร์พิสูจน์กันต่อไปครับ โลกเรานั้นเล็กขนาดไหน? เมื่อเทียบกับดาวอื่นๆในจักรวาล โลกเรานั้นเล็กขนาดไหน? เมื่อเทียบกับดาวอื่นๆในจักรวาล ภาค2 |
ป้ายกำกับ:
UFO มีจริงหรือไม่? รวมภาพ UFO จากทั่วโลก
วิธีการหยุดการนินทา
การนินทาเป็นเรื่องของการใช้วาจา เรารู้สึกขุ่นมัวทุกครั้งหรือเปล่าที่เราได้ยินเสียงของคนอื่นกำลังพูดถึงเรา อย่างคนที่บอกว่ามันจริงหรืออาจจะไม่จริงก็ได้ ถ้าเราขุ่นมัวแสดงว่าเราอ่อนแอค่ะ เสียงที่เราได้ยินนั้น เราอาจจะได้ยินจริง แต่สิ่งที่เราได้ยินนั้นมันไม่จริง อันนี้เรารู้อยู่แก่ใจของเราดี จงใช้วาจาของเราทุกครั้งอย่างคนที่เฝ้าดูเจตนาว่าเราพูดทำไม สิ่งที่เราพูดเพื่ออะไร กับคำพูดของเราในขณะนั้นมีคนชอบฟังก็จริง แต่เมื่อพูดไปแล้วมันเป็นเรื่องที่ไม่จริง เราก็ต้องหยุดค่ะ นี่คือการหยุดนินทาจากวาจาของเราก่อน เป็นเรื่องที่เราทำได้เป็นเรื่องแรกนะคะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนว่าการใช้วาจานั้นเป็นเรื่องแรกที่ต้องระมัดระวัง เพราะมันเป็นเรื่องของการสร้างสามัคคีได้ดีที่สุดเลยค่ะ ในทางตรงกันข้ามมันก็ทำลายความสามัคคีได้อย่างง่ายที่สุดเหมือนกัน ถ้าคำพูดใดก็ตามเป็นคำพูดที่ไม่จริง เราจะไม่พูดเลยค่ะ หรือแม้แต่ข่าวลือที่เราไม่รู้จริง เราก็จะไม่พูดนะคะ ถ้าคำพูดใดจริงและคนฟังก็ชอบฟัง เรายังต้องพิจารณาว่าเมื่อไรควรพูด เมื่อไรไม่ควรพูด หยุดการนินทาด้วยการใช้สติปัญญาในการใช้วาจาของเราดีไหมคะ แล้วเราจะรู้ว่าเราจะไม่เป็นเหตุแห่งการเบียดเบียนโดยวาจาของเราค่ะ ขอให้คุณมีความสุขกับการใช้วาจาของคุณนะคะ
***นิทานตลก ฮาๆๆๆ****
***นิทานตลก ฮาๆๆๆ**** เรื่อง ค้างคาวกับท่าผู้เฒ่า ♫♫♫ฮาจริงๆนะ
กาลครั้งหนึ่งมีค้างคาว 3 ตัว อาศัยอยู่บนต้นไม้ต้นเดียวกัน
มีค้างคาวน้อย ค้างคาวหนุ่ม และค้างคาวเฒ่า
ปกติมันทั้ง 3 จะผลัดเวรกันออกไปหาเลือดสดๆ มาแบ่งปันกัน
และวันนี้เป็นเวรของเจ้าค้างคาวน้อย
ค้างคาวน้อยออกไปนาน....นานมาก ก็ยังไม่กลับ
แต่ที่สุดแล้วมันก็กลับมา...
' ข้าขอโทษนะที่หาอาหารมาให้ไม่ได้ ข้าคิดว่าช่วงนี้เป็นหน้าแล้งสัตว์ต่างๆพากันอพยพไปหมด'
ค้างคาวน้อยบอกเสียงเจื้อยแจ้ว
' ไม่ใช่หรอก เจ้าหนะ ยังด้อยประสบการณ์นัก เดี๋ยวข้าออกไปเอง...'
เจ้าค้างคาวหนุ่มกล่าว.. ว่าแล้วมันก็ออกไป
และออกไปนาน..นานกว่าเจ้าค้างคาวน้อยอีก...
และก็กลับมามือเปล่า ..
' สงสัยท่านผู้เฒ่าต้องช่วยพวกเราแล้วหละครับ'
เจ้าหนุ่มกล่าว ว่าแล้วค้างคาวผู้เฒ่าก็ออกไป...
.... ไม่น่าเชื่อ....เพียงไม่นาน ท่านผู้เฒ่าก็กลับมา พร้อมกับเลือดสดๆ เต็มปาก....
' ท่านทำได้ไงเนี่ย ท่านผู้เฒ่า...' ค้างคาวทั้งสองร้องด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ ...
ท่านผู้เฒ่ากล่าวอย่างเคร่งขรึม..... ..
' พวกคุณเห็นต้นไม้ด้านหน้านั้นมั้ย'.......
...' เห็นครับท่าน'....
.
.
.
.
.
.
' นั่นแหละ.........................กูไม่เห็น'
มีค้างคาวน้อย ค้างคาวหนุ่ม และค้างคาวเฒ่า
ปกติมันทั้ง 3 จะผลัดเวรกันออกไปหาเลือดสดๆ มาแบ่งปันกัน
และวันนี้เป็นเวรของเจ้าค้างคาวน้อย
ค้างคาวน้อยออกไปนาน....นานมาก ก็ยังไม่กลับ
แต่ที่สุดแล้วมันก็กลับมา...
' ข้าขอโทษนะที่หาอาหารมาให้ไม่ได้ ข้าคิดว่าช่วงนี้เป็นหน้าแล้งสัตว์ต่างๆพากันอพยพไปหมด'
ค้างคาวน้อยบอกเสียงเจื้อยแจ้ว
' ไม่ใช่หรอก เจ้าหนะ ยังด้อยประสบการณ์นัก เดี๋ยวข้าออกไปเอง...'
เจ้าค้างคาวหนุ่มกล่าว.. ว่าแล้วมันก็ออกไป
และออกไปนาน..นานกว่าเจ้าค้างคาวน้อยอีก...
และก็กลับมามือเปล่า ..
' สงสัยท่านผู้เฒ่าต้องช่วยพวกเราแล้วหละครับ'
เจ้าหนุ่มกล่าว ว่าแล้วค้างคาวผู้เฒ่าก็ออกไป...
.... ไม่น่าเชื่อ....เพียงไม่นาน ท่านผู้เฒ่าก็กลับมา พร้อมกับเลือดสดๆ เต็มปาก....
' ท่านทำได้ไงเนี่ย ท่านผู้เฒ่า...' ค้างคาวทั้งสองร้องด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ ...
ท่านผู้เฒ่ากล่าวอย่างเคร่งขรึม..... ..
' พวกคุณเห็นต้นไม้ด้านหน้านั้นมั้ย'.......
...' เห็นครับท่าน'....
.
.
.
.
.
.
' นั่นแหละ.........................กูไม่เห็น'
แนวการยืนที่ถูกต้อง
โดยโปรนิพนธ์
สวัสดีครับท่านนักกอล์ฟ ข้อผิดพลาดที่สำคัญอย่างหนึ่งของนักกอล์ฟขณะเข้ายืนจรดลูกคือ การวางแนวเท้าที่ไม่ถูกต้อง กับแนวเป้าหมาย ส่วนมากแล้วเกิดจากการเผลอ ไม่ระมัดระวังขณะเข้ายืนจรดลูกให้ขนานกับเส้นเป้าหมาย
นักกอล์ฟมือสมัครเล่นบางท่านอาจจะจัดท่าทางการยืนที่ไม่ถูกต้อง โดยแนวไหล่ชี้ออกไปทางขวา เพราะว่าหลังจากที่ท่านเล็งหน้าเหล็กไปตามแนวเป้าหมายแล้ว ส่วนมากจะเผลอจัดแนวเท้า, สะโพก, และไหล่ไปที่เป้าหมาย ทำให้แนวการสวิงเล็งออกไปทางขวาของเป้าหมาย ถึงแม้ว่าหน้าเหล็กจะเล็งอย่างถูกต้องไปตามเป้าหมายก็ตาม แนวการสวิงที่ออกไปทางขวาก็จะทำให้ตีลูกออกไปทางนั้นเช่นกัน ดังนั้นขอให้ท่านคิดถึงเส้นขนาน หลังจากที่เล็งหน้าเหล็กไปที่เป้าหมายแล้ว ขอให้แนวเท้า, สะโพก, และไหล่ทั้งสองข้างขนานกันกับเส้นเป้าหมาย ถ้าแนวการสวิงขนานกับแนวเป้าหมายแล้ว หน้าเหล็กก็จะอยู่ในแนวสวิงที่ถูกต้อง ท่านก็จะตีง่ายขึ้น และลูกก็จะไปตามที่ท่านต้องการให้ไป เพราะฉะนั้นแนวการยืนที่ถูกต้อง จะทำให้ท่านมีโอกาสถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ที่จะตีลูกตรงไปตามที่ต้องการ
ข้อมูลจาก http://www.golfvariety.com
สวัสดีครับท่านนักกอล์ฟ ข้อผิดพลาดที่สำคัญอย่างหนึ่งของนักกอล์ฟขณะเข้ายืนจรดลูกคือ การวางแนวเท้าที่ไม่ถูกต้อง กับแนวเป้าหมาย ส่วนมากแล้วเกิดจากการเผลอ ไม่ระมัดระวังขณะเข้ายืนจรดลูกให้ขนานกับเส้นเป้าหมาย
นักกอล์ฟมือสมัครเล่นบางท่านอาจจะจัดท่าทางการยืนที่ไม่ถูกต้อง โดยแนวไหล่ชี้ออกไปทางขวา เพราะว่าหลังจากที่ท่านเล็งหน้าเหล็กไปตามแนวเป้าหมายแล้ว ส่วนมากจะเผลอจัดแนวเท้า, สะโพก, และไหล่ไปที่เป้าหมาย ทำให้แนวการสวิงเล็งออกไปทางขวาของเป้าหมาย ถึงแม้ว่าหน้าเหล็กจะเล็งอย่างถูกต้องไปตามเป้าหมายก็ตาม แนวการสวิงที่ออกไปทางขวาก็จะทำให้ตีลูกออกไปทางนั้นเช่นกัน ดังนั้นขอให้ท่านคิดถึงเส้นขนาน หลังจากที่เล็งหน้าเหล็กไปที่เป้าหมายแล้ว ขอให้แนวเท้า, สะโพก, และไหล่ทั้งสองข้างขนานกันกับเส้นเป้าหมาย ถ้าแนวการสวิงขนานกับแนวเป้าหมายแล้ว หน้าเหล็กก็จะอยู่ในแนวสวิงที่ถูกต้อง ท่านก็จะตีง่ายขึ้น และลูกก็จะไปตามที่ท่านต้องการให้ไป เพราะฉะนั้นแนวการยืนที่ถูกต้อง จะทำให้ท่านมีโอกาสถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ที่จะตีลูกตรงไปตามที่ต้องการ
ข้อมูลจาก http://www.golfvariety.com
การใช้แกระเกี่ยวข้าว
ชาวไร่จะถือแกระด้วยมือข้างที่ถนัด ให้แผ่นใบมีดอยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลางของมือข้างที่ถือแกระ | |||
:: การถือแกระแบบไม่มีด้าม :: | |||
การเกี่ยวข้าวด้วยแกระจะใช้นิ้วมือข้างที่ถือแกระ จับต้นข้าวทีละต้น ให้ส่วนของลำต้นข้าวโดนคมมีด แล้วปิดข้อมือเล็กน้อย คมมีดก็จะตัดต้นข้าวขาดออกมา การเกี่ยวข้าวด้วยแกระมักจะเกี่ยวห่างจากรวงข้าวประมาณ 1 คืบ | |||
เมื่อเกี่ยวข้าวได้เต็มกำมือก็จะนำไปรวมกันในมืออีกข้างหนึ่ง บางคนจะวางในลักษณะสลับหัวสลับท้ายกัน แล้วใช้ตอกมัดตรงกลาง | |||
:: เกี่ยวข้าวโดยใช้แกระ :: | :: วางข้าวที่เกี่ยวแล้วสลับหัว-ท้าย :: | :: มัดข้าว :: | :: มัดข้าวที่เกี่ยวด้วยแกระวางในพื้นที่ไร่ :: |
เอกสารอ้างอิง มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด และ คณะ ,โครงการศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว. รายงานวิจัย เชียงใหม่ : สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,2545. |
วิธีเก็บเกี่ยวข้าว
ในช่วงของการเกี่ยวข้าวเป็นอีกช่วงหนึ่งที่มีความต้องการใช้แรงงานจำนวนมาก ชาวไร่ชาวนามีวิธีระดมแรงงานในกลุ่มเครือญาติหรือเพื่อนบ้านมาช่วยทำงาน เรียกว่า “เอามื้อเอาวัน” หรือ “เอามื้อเอาแฮง” แบ่งการเกี่ยวข้าวเป็น | |||
:: “เอามื้อเอาวัน” ในการเกี่ยวข้าว :: | |||
:: เกี่ยวข้าวโดยใช้เคียว :: | วิธีเกี่ยวข้าวโดยใช้เคียว ชาวไร่ชาวนาจะถือเคียวด้วยมือข้างที่ถนัด แล้วใช้เคียวเกี่ยวกระหวัดกอข้าวทีละกอ ในขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งจับกอข้าวนั้น และออกแรงดึงเคียวให้คมเคียวตัดลำต้นข้าวให้ขาดออกมา โดยทั่วไปจะเกี่ยวให้มีความยาวของต้นข้าวห่างจากรวงข้าว ให้พอเหมาะที่จะนำไปฟาดข้าวได้สะดวก หรือให้มีความยาวของต้นข้าวพอที่จะนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อไปได้ เช่น ใช้คลุมแปลงปลูกหอม กระเทียม ฯลฯ | :: มัดข้าวที่เกี่ยวแล้ว :: | |
เมื่อเกี่ยวข้าวได้เต็มกำมือแล้ว บางคนจะมัดข้าวเป็นมัดๆ ก่อนวางตากแดด แต่บางคนก็วางตากเลยโดยไม่มัด | |||
:: มัดข้าววางตากแดด :: | :: ข้าวที่ไม่ได้มัดวางตากแดด :: |
สวนดุสิตโพล:การหารายได้พิเศษในช่วงปิดเทอมของเยาวชน
เนื่องจากในปัจจุบันเป็นช่วงปิดเทอม ทำให้มีนักเรียน นักศึกษาจำนวนมากที่ยังไม่มีกิจกรรมทำให้ช่วงปิดเทอมและ
มีนักเรียนนักศึกษาบางกลุ่มที่ต้องการหารายได้พิเศษและใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ “สวนดุสิตโพล” สถาบันราชภัฎสวนดุสิต
จึงได้สำรวจความคิดเห็นของเยาวชนที่พักอาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,092 คน (ชาย 441 คน 40.38%
หญิง 651 คน 59.62 %) โดยสำรวจระหว่างวันที่ 30-31 มีนาคม 2547 สรุปผลได้ดังนี้
1. ในช่วงปิดเทอมนี้ เยาวชนมีความต้องการหารายได้พิเศษหรือไม่ ?
ชาย หญิง ภาพรวม
อันดับที่ 1 อยากทำ 90.74% 96.70% 93.72%
เพราะ จะได้มีเงินใช้จ่ายในเรื่องส่วนตัวและไม่ต้องรบกวนเงินพ่อแม่, จะได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์, ได้ประสบการณ์ทำงาน ฯลฯ
อันดับที่ 2 ไม่อยากทำ 9.26% 3.30% 6.28%
เพราะ ไม่มีเวลาเพราะต้องเรียนหนังสือ, ไม่มีความจำเป็นต้องทำงาน, ยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงานมากพอ ฯลฯ
2. งานที่เยาวชนต้องการทำเพื่อหารายได้พิเศษช่วงปิดเทอมนี้ คือ
ชาย หญิง ภาพรวม
อันดับที่ 1 งานด้านการบริการ เช่น ร้านอาหาร,ห้างสรรพสินค้า 28.95% 30.89% 29.92%
เพราะ สามารถทำงานได้เป็นกะ, ได้รู้จักคนเยอะ, ได้ฝึกประสบการณ์และความอดทน ฯลฯ
อันดับที่ 2 ขายของ 26.31% 19.12% 22.72%
เพราะ เป็นอาชีพอิสระ สามารถทำตอนไหนก็ได้, รายได้ดี ฯลฯ
อันดับที่ 3 พนักงานต้อนรับ/ประชาสัมพันธ์ 13.16% 22.06% 17.61%
เพราะ ได้พบปะผู้คน, ได้ใช้ภาษา, เป็นงานที่มั่นคงและปลอดภัย ฯลฯ
อันดับที่ 4 งานสิ่งพิมพ์และงานคอมพิวเตอร์ 13.16% 7.35% 10.26%
เพราะ ได้ฝึกทักษะและความรู้, เป็นงานสบายไม่ต้องออกแรง, ได้เรียนรู้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ฯลฯ
อันดับที่ 5 มัคคุเทศน์/ไกด์ 7.89% 11.76% 9.82%
เพราะ ได้รู้จักสถานที่ต่างๆ, ได้เที่ยว, ได้ประสบการณ์, ได้ฝึกภาษา ฯลฯ
อื่นๆ เช่น พนักงานตรวจตั๋วโรงหนัง,ครูสอนพิเศษ,แจกใบปลิว
และPretty เป็นต้น 10.53% 8.82% 9.67%
เพราะ เป็นงานที่สุจริต,งานสบายรายได้ดี,ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์,ลดภาระทางบ้าน ฯลฯ
3. รายได้ที่ได้จากการทำงานพิเศษจะนำไปทำอะไร
ชาย หญิง ภาพรวม
อันดับที่ 1 เก็บไว้ใช้จ่ายส่วนตัว 55.10% 27.03% 41.06%
อันดับที่ 2 ใช้เพื่อการศึกษา/ใช้ในด้านการศึกษา/เรียนต่อ 30.62% 33.33% 31.98%
อันดับที่ 3 เก็บเป็นเงินออมฝากธนาคาร 10.20% 16.22% 13.21%
อันดับที่ 4 ใช้ซื้อของต่างๆ ที่อยากได้ 2.04% 16.22% 9.13%
อันดับที่ 5 ส่งให้ทางบ้าน/ให้พ่อแม่/นำมาช่วยเหลือพ่อแม่ 2.04% 7.20% 4.62%
4. สิ่งที่เยาวชนอยากให้ภาครัฐ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดการกับเรื่องการหารายได้พิเศษช่วงปิดเทอม
ชาย หญิง ภาพรวม
อันดับที่ 1 เปิดรับสมัครนักเรียนในช่วงปิดเทอมโดยเป็นงานของ
รัฐบาลตามความเหมาะสม 44.44% 40.85% 42.65%
อันดับที่ 2 เปิดโอกาสและสนับสนุนให้มีการหารายได้พิเศษ 36.51% 36.62% 36.57%
อันดับที่ 3 มีกฏหมายคุ้มครองไม่ให้นายจ้างเอาเปรียบลูก
จ้างโดยเฉพาะนักศึกษา 6.35% 11.27% 8.81%
อันดับที่ 4 ร่วมมือกับบริษัทเอกชนต่างๆ ในการรับสมัคร
ทำงานช่วงปิดเทอม 7.94% 7.04% 7.49%
อันดับที่ 5 ปรับค่าจ้างให้เหมาะสมกับความสามารถและ
เหมาะสมกับงานที่ทำ 4.76% 4.22% 4.48%
--สวนดุสิตโพล--
-ลจ-
มีนักเรียนนักศึกษาบางกลุ่มที่ต้องการหารายได้พิเศษและใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ “สวนดุสิตโพล” สถาบันราชภัฎสวนดุสิต
จึงได้สำรวจความคิดเห็นของเยาวชนที่พักอาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,092 คน (ชาย 441 คน 40.38%
หญิง 651 คน 59.62 %) โดยสำรวจระหว่างวันที่ 30-31 มีนาคม 2547 สรุปผลได้ดังนี้
1. ในช่วงปิดเทอมนี้ เยาวชนมีความต้องการหารายได้พิเศษหรือไม่ ?
ชาย หญิง ภาพรวม
อันดับที่ 1 อยากทำ 90.74% 96.70% 93.72%
เพราะ จะได้มีเงินใช้จ่ายในเรื่องส่วนตัวและไม่ต้องรบกวนเงินพ่อแม่, จะได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์, ได้ประสบการณ์ทำงาน ฯลฯ
อันดับที่ 2 ไม่อยากทำ 9.26% 3.30% 6.28%
เพราะ ไม่มีเวลาเพราะต้องเรียนหนังสือ, ไม่มีความจำเป็นต้องทำงาน, ยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงานมากพอ ฯลฯ
2. งานที่เยาวชนต้องการทำเพื่อหารายได้พิเศษช่วงปิดเทอมนี้ คือ
ชาย หญิง ภาพรวม
อันดับที่ 1 งานด้านการบริการ เช่น ร้านอาหาร,ห้างสรรพสินค้า 28.95% 30.89% 29.92%
เพราะ สามารถทำงานได้เป็นกะ, ได้รู้จักคนเยอะ, ได้ฝึกประสบการณ์และความอดทน ฯลฯ
อันดับที่ 2 ขายของ 26.31% 19.12% 22.72%
เพราะ เป็นอาชีพอิสระ สามารถทำตอนไหนก็ได้, รายได้ดี ฯลฯ
อันดับที่ 3 พนักงานต้อนรับ/ประชาสัมพันธ์ 13.16% 22.06% 17.61%
เพราะ ได้พบปะผู้คน, ได้ใช้ภาษา, เป็นงานที่มั่นคงและปลอดภัย ฯลฯ
อันดับที่ 4 งานสิ่งพิมพ์และงานคอมพิวเตอร์ 13.16% 7.35% 10.26%
เพราะ ได้ฝึกทักษะและความรู้, เป็นงานสบายไม่ต้องออกแรง, ได้เรียนรู้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ฯลฯ
อันดับที่ 5 มัคคุเทศน์/ไกด์ 7.89% 11.76% 9.82%
เพราะ ได้รู้จักสถานที่ต่างๆ, ได้เที่ยว, ได้ประสบการณ์, ได้ฝึกภาษา ฯลฯ
อื่นๆ เช่น พนักงานตรวจตั๋วโรงหนัง,ครูสอนพิเศษ,แจกใบปลิว
และPretty เป็นต้น 10.53% 8.82% 9.67%
เพราะ เป็นงานที่สุจริต,งานสบายรายได้ดี,ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์,ลดภาระทางบ้าน ฯลฯ
3. รายได้ที่ได้จากการทำงานพิเศษจะนำไปทำอะไร
ชาย หญิง ภาพรวม
อันดับที่ 1 เก็บไว้ใช้จ่ายส่วนตัว 55.10% 27.03% 41.06%
อันดับที่ 2 ใช้เพื่อการศึกษา/ใช้ในด้านการศึกษา/เรียนต่อ 30.62% 33.33% 31.98%
อันดับที่ 3 เก็บเป็นเงินออมฝากธนาคาร 10.20% 16.22% 13.21%
อันดับที่ 4 ใช้ซื้อของต่างๆ ที่อยากได้ 2.04% 16.22% 9.13%
อันดับที่ 5 ส่งให้ทางบ้าน/ให้พ่อแม่/นำมาช่วยเหลือพ่อแม่ 2.04% 7.20% 4.62%
4. สิ่งที่เยาวชนอยากให้ภาครัฐ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดการกับเรื่องการหารายได้พิเศษช่วงปิดเทอม
ชาย หญิง ภาพรวม
อันดับที่ 1 เปิดรับสมัครนักเรียนในช่วงปิดเทอมโดยเป็นงานของ
รัฐบาลตามความเหมาะสม 44.44% 40.85% 42.65%
อันดับที่ 2 เปิดโอกาสและสนับสนุนให้มีการหารายได้พิเศษ 36.51% 36.62% 36.57%
อันดับที่ 3 มีกฏหมายคุ้มครองไม่ให้นายจ้างเอาเปรียบลูก
จ้างโดยเฉพาะนักศึกษา 6.35% 11.27% 8.81%
อันดับที่ 4 ร่วมมือกับบริษัทเอกชนต่างๆ ในการรับสมัคร
ทำงานช่วงปิดเทอม 7.94% 7.04% 7.49%
อันดับที่ 5 ปรับค่าจ้างให้เหมาะสมกับความสามารถและ
เหมาะสมกับงานที่ทำ 4.76% 4.22% 4.48%
--สวนดุสิตโพล--
-ลจ-
หมอดูไพ่ป๊อก
หมอดูไพ่ป๊อก
ก่อนที่ไพ่ยิปซี หรือไพ่ทาโรต์ จะเผยแพร่เข้ามาในเมืองไทย สมัยเด็กๆผมรู้จักแต่ “ไพ่ป๊อก” นี่แหละครับ และก็ใช้งานมันคุ้มจริงๆ คือไว้เล่นทั้งป๊อกเด้ง กบดำกบแดง ฯลฯ เอาไว้เล่นกลให้น้องๆดู ผมชอบเล่นกลมาแต่ไหนแต่ไร สมัยก่อนตอนผมอยู่ ม.ต้น สนามหลวงยังเป็นแหล่งขายหนังสือขนาดใหญ่ (ก่อนที่จะย้ายมาอยู่จตุจักรในปัจจุบัน) ผมก็นั่งรถเมล์สาย 39 จากรังสิตไปสุดทางสนามหลวง เพื่อหาซื้อตำราสอนมายากล มันหาซื้อไม่ได้ตามแผงหนังสือ แต่ที่สนามหลวงจะมีให้คุณได้ทุกอย่าง ผมก็จะซื้อเอามาฝึกเล่นกล กลไพ่เป็นอะไรที่เรียนง่ายและสนุก ผมบังคับให้น้องๆมานั่งดูการแสดงของผมเป็นประจำ
นอกจากนั้น ผมยังเอาไพ่ป๊อกมาใช้ทำนายโชคชะตาราศี ผมศึกษาไพ่ป๊อกพร้อมๆกับเรียนวิชาโหราศาสตร์ เคยเขียนเรื่องวิวัฒนาการของไพ่ จากไพ่ป๊อกสู่ไพ่ทาโรต์ ลงในนิตยสาร Health Plus มาแล้วเมื่อปีก่อน คนที่ใช้ไพ่ทายโชคชะตาในราชสำนักฝรั่งเศสจนโด่งดังไปทั่วโลกก็คือ มารี อาน อาเดอเลด เลอนอร์มองด์ (Marie-Anne Adelaide Lenormand) เกิดเมื่อปี 1772 เธอเป็นโหรที่ พระนางโยเซฟีน มเหสีของ นโปเลียน โบนาปาร์ท จักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส เรียกใช้บริการบ่อยๆ ความจริงเธอไม่ได้ใช้ไพ่อย่างเดียว เธอดูลายมือก็เป็น และใช้เซ้นส์ในการทำนายมาก หมอดูสมัยก่อนมักขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีเซ้นส์ คุณจะหาตำราแท้ๆ เกี่ยวกับวิธีการทำนายเพื่อท่องจำความหมายและทายได้อย่างตาเห็นนั้น เป็นไปได้ยากมาก แม้คุณจะให้ มาดาม เลอนอร์มองด์ มาเป็นอาจารย์บอกเล่าความหมายของไพ่แต่ละใบให้ฟังก็เถอะ ถ้าคุณไม่มีเซ้นส์ในการทำนาย ก็ยากที่คุณจะทายได้แม่นอย่างเธอ ดังนั้นหมอดูสมัยก่อนจึงมีบทบาทเหมือนเป็นผู้วิเศษ มีพลังที่เหนือกว่าคนธรรมดา มันเป็นความสามารถเฉพาะตัว เราอาจจะเรียนรู้วิธีการของเธอ แต่เราทำอย่างเธอไม่ได้ง่ายๆ
พูดถึงตำราไพ่ป๊อกเท่าที่จำได้ผมมีอยู่ 4-5 เล่ม แต่วันนี้หาเจอแค่ 2 เล่ม
คัมภีร์การไข อ่านไพ่พยากรณ์ เรียบเรียงโดย สิงห์คำ โต๊ะงาม เป็นตำราเล่มหนา 329 หน้า รวบรวมเรื่องราวและความหมายของไพ่เอาไว้มากมาย ไพ่แต่ละใบจะมีหลายนัยยะ ให้เราเลือกว่าจะทายแบบเหตุการณ์ทั่วๆไป แบบลึงซึ้งถึงพฤติกรรม หรือจิตวิญญาณ
อ่านไพ่ทำนายชีวิต ของ หลุยส์ วู้ดส์ แปลโดย คำทิย์ ไชยธรรม ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 สภาพเยินมากแล้ว เพราะนานหลายปีแล้ว และผมก็ใช้มันคุ้ม คืออ่านจนทะลุปรุโปร่ง ตำราหมอดูของผมส่วนใหญ่จะมีการขีดเส้นใต้ เขียนช็อตโน้ตลงไปเกือบทุกหน้า ถ้าเกิดได้สถิติใหม่ หรือเคล็ดในการทำนายใหม่ๆจากประสบการณ์ตรง ก็จะจดลงไปในตำรานั่นแหละ
มันเป็นหนังสือเล่มบางๆ 126 หน้า แต่มีรายละเอียดครบถ้วนครับ ทั้งความหมายไพ่ การผสมความหมาย การวางไพ่แบบต่างๆ ตัวอย่างการทำนาย และเคล็ดลับที่น่าสนใจ อย่างเช่น มีคำถามว่า “ลูกของคุณจะประสบความสำเร็จหรือไม่?” หลุยส์ วู้ดส์ ก็มีเคล็ดลับให้เรา คือ “ถ้ามีไพ่หัวใจหลายใบอยู่รอบๆไพ่ตัวแทนเด็ก เขาจะเติบโตเป็นนักแสดงหรือศิลปิน ถ้ามีข้าวหลามตัดอยู่รอบๆ เขาจะชำนาญงานที่ต้องใช้ทักษะการวิเคราะห์วิจัย และงานช่าง แต่อย่าเสียใจถ้าหากมีไพ่โพดำ มันหมายถึงอาชีพที่ไม่มั่นคง และการไม่อยู่ติดบ้าน”
หรืออย่างคำถามว่า “คุณจะร่ำรวยกับเขาบ้างสักวันไหม?” หลุยส์ วู้ดส์ ก็ไม่ลืมจะทิ้งท้ายด้วยเคล็ดน่าสนใจว่า “จำไว้ว่า 5 ดอกจิก (เอกสารทางกฎหมาย) / 8 ข้าวหลามตัด (การเปลี่ยนแปลงฐานะ) / 8 ดอกจิก (ศาล) ทั้งสามใบมารวมกัน หมายถึง มรดกที่เป็นเงินสด” ซึ่งเท่านี้ก็ทำให้คนที่ฉลาดหน่อย สามารถจะขยายหลักการไปใช้ผสมความหมายไพ่ให้เป็นเรื่องราวต่างๆได้อีกมากมาย
ขณะเดียวกัน ในส่วนของความหมายไพ่ ก็มีการพัฒนาไปบ้างตามยุคสมัย เช่น 9 ดอกจิก ตำราว่าหมายถึง การเดินทางในฟากฟ้ากว้าง การเดินทางทางอากาศ ทั้งภายในและต่างประเทศ ทั้งเพื่อการท่องเที่ยวและธุรกิจ ขณะที่เราอยู่บนฟ้าอันสูงโพ้น 9 ดอกจิก ยังบ่งบอกถึงวิญญาณแห่งการท่องเที่ยวที่มีขอบเขตดังเช่นเส้นขอบฟ้า (จากรูป : ผมยังช็อตโน้ตไว้ด้วยว่า อาจหมายถึงการเดินทางสั้นๆ) ที่ว่าความหมายมีการพัฒนาไปก็เพราะว่า สมัยก่อนไม่มีการเดินทางทางอากาศ แม้แต่ มาดาม เลอนอร์มองด์ ก็คงไม่มีคำทำนายแบบนี้ เพราะไม่เคยคิดว่าคนเราจะเดินทางทางอากาศกันได้อย่างไร แต่พอมาถึงยุคของ หลุยส์ วู้ดส์ เขาสามารถที่จะนำจิตวิญญาณของไพ่แต่ละใบมาประยุกต์ให้สอดคล้องกับเหตุการ์ปัจจุบันได้
ไพ่ป๊อกที่ผมเอาไว้ดูดวงโดยเฉพาะ หลักๆก็มีอยู่ 2 สำรับครับ ในภาพ ชุดแถวบนเป็นขอบเหลือง ส่วนแถวล่างเป็นขอบทอง จะเห็นว่าแถวบนพลาสติกเริ่มเก่าจนเป็นสีเหลืองแล้ว เพราะซื้อมาใช้เป็นชุดแรก
ส่วนชุดอื่นๆก็เป็นของสะสม เช่นชุดนี้เป็นไพ่ของนิวซีแลนด์
ชุดนี้ของเยอรมนี ไพ่คอร์ตมีหน้าตาสวยงาม ทั้งสำรับมีจำนวน 26 ใบ คือจะไม่มีไพ่เบอร์ 2-6 เหมาะอย่างยิ่งกับการนำมาใช้ดูดวงแบบไทย ที่เราอาจคุ้นตากับการวางไพ่เป็นรูปวงกลม การดูดวงแบบไพ่ป๊อกไทยนั้น หมอดูจะต้องเอาไพ่เบอร์ 2 ถึงเบอร์ 6 ออกจากสำรับไปซะก่อน ไม่ได้เอามาใช้ทำนายด้วย
สำหรับชุดนี้ภูมิใจเสนอครับ ไพ่ทาโรต์ยุคโบราณ ที่มีรูปร่างหน้าตาแบบไพ่ป๊อก เพื่อนซื้อมาฝากจากฝรั่งเศส คนที่นั่นเขาเอาไพ่ทาโรต์แบบนี้มาเล่นเป็นเกม เหมือนเราเอาไพ่ป๊อกมาเล่นสลาฟ เล่นป๊อกเด้งอะไรแบบนั้น ไพ่ชุดนี้จะมีเอกสารวิธีเล่นเกมแนบมาให้ด้วย (เป็นภาษาฝรั่งเศส)
หน้าตาของมันจะมีไพ่ป๊อกหรือไพ่ไมเนอร์ 40 ใบ ไพ่คอร์ต 17 ใบ และไพ่เมเจอร์อีก 21 ใบ ซึ่งไพ่เมเจอร์จะมีรูปภาพเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนสมัยก่อน ไพ่หัวตั้งและหัวกลับของแต่ละใบจะมีรูปภาพไม่เหมือนกัน ทำให้ได้ความหมายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
นอกจากนั้น ผมยังเอาไพ่ป๊อกมาใช้ทำนายโชคชะตาราศี ผมศึกษาไพ่ป๊อกพร้อมๆกับเรียนวิชาโหราศาสตร์ เคยเขียนเรื่องวิวัฒนาการของไพ่ จากไพ่ป๊อกสู่ไพ่ทาโรต์ ลงในนิตยสาร Health Plus มาแล้วเมื่อปีก่อน คนที่ใช้ไพ่ทายโชคชะตาในราชสำนักฝรั่งเศสจนโด่งดังไปทั่วโลกก็คือ มารี อาน อาเดอเลด เลอนอร์มองด์ (Marie-Anne Adelaide Lenormand) เกิดเมื่อปี 1772 เธอเป็นโหรที่ พระนางโยเซฟีน มเหสีของ นโปเลียน โบนาปาร์ท จักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส เรียกใช้บริการบ่อยๆ ความจริงเธอไม่ได้ใช้ไพ่อย่างเดียว เธอดูลายมือก็เป็น และใช้เซ้นส์ในการทำนายมาก หมอดูสมัยก่อนมักขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีเซ้นส์ คุณจะหาตำราแท้ๆ เกี่ยวกับวิธีการทำนายเพื่อท่องจำความหมายและทายได้อย่างตาเห็นนั้น เป็นไปได้ยากมาก แม้คุณจะให้ มาดาม เลอนอร์มองด์ มาเป็นอาจารย์บอกเล่าความหมายของไพ่แต่ละใบให้ฟังก็เถอะ ถ้าคุณไม่มีเซ้นส์ในการทำนาย ก็ยากที่คุณจะทายได้แม่นอย่างเธอ ดังนั้นหมอดูสมัยก่อนจึงมีบทบาทเหมือนเป็นผู้วิเศษ มีพลังที่เหนือกว่าคนธรรมดา มันเป็นความสามารถเฉพาะตัว เราอาจจะเรียนรู้วิธีการของเธอ แต่เราทำอย่างเธอไม่ได้ง่ายๆ
พูดถึงตำราไพ่ป๊อกเท่าที่จำได้ผมมีอยู่ 4-5 เล่ม แต่วันนี้หาเจอแค่ 2 เล่ม
คัมภีร์การไข อ่านไพ่พยากรณ์ เรียบเรียงโดย สิงห์คำ โต๊ะงาม เป็นตำราเล่มหนา 329 หน้า รวบรวมเรื่องราวและความหมายของไพ่เอาไว้มากมาย ไพ่แต่ละใบจะมีหลายนัยยะ ให้เราเลือกว่าจะทายแบบเหตุการณ์ทั่วๆไป แบบลึงซึ้งถึงพฤติกรรม หรือจิตวิญญาณ
อ่านไพ่ทำนายชีวิต ของ หลุยส์ วู้ดส์ แปลโดย คำทิย์ ไชยธรรม ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 สภาพเยินมากแล้ว เพราะนานหลายปีแล้ว และผมก็ใช้มันคุ้ม คืออ่านจนทะลุปรุโปร่ง ตำราหมอดูของผมส่วนใหญ่จะมีการขีดเส้นใต้ เขียนช็อตโน้ตลงไปเกือบทุกหน้า ถ้าเกิดได้สถิติใหม่ หรือเคล็ดในการทำนายใหม่ๆจากประสบการณ์ตรง ก็จะจดลงไปในตำรานั่นแหละ
มันเป็นหนังสือเล่มบางๆ 126 หน้า แต่มีรายละเอียดครบถ้วนครับ ทั้งความหมายไพ่ การผสมความหมาย การวางไพ่แบบต่างๆ ตัวอย่างการทำนาย และเคล็ดลับที่น่าสนใจ อย่างเช่น มีคำถามว่า “ลูกของคุณจะประสบความสำเร็จหรือไม่?” หลุยส์ วู้ดส์ ก็มีเคล็ดลับให้เรา คือ “ถ้ามีไพ่หัวใจหลายใบอยู่รอบๆไพ่ตัวแทนเด็ก เขาจะเติบโตเป็นนักแสดงหรือศิลปิน ถ้ามีข้าวหลามตัดอยู่รอบๆ เขาจะชำนาญงานที่ต้องใช้ทักษะการวิเคราะห์วิจัย และงานช่าง แต่อย่าเสียใจถ้าหากมีไพ่โพดำ มันหมายถึงอาชีพที่ไม่มั่นคง และการไม่อยู่ติดบ้าน”
หรืออย่างคำถามว่า “คุณจะร่ำรวยกับเขาบ้างสักวันไหม?” หลุยส์ วู้ดส์ ก็ไม่ลืมจะทิ้งท้ายด้วยเคล็ดน่าสนใจว่า “จำไว้ว่า 5 ดอกจิก (เอกสารทางกฎหมาย) / 8 ข้าวหลามตัด (การเปลี่ยนแปลงฐานะ) / 8 ดอกจิก (ศาล) ทั้งสามใบมารวมกัน หมายถึง มรดกที่เป็นเงินสด” ซึ่งเท่านี้ก็ทำให้คนที่ฉลาดหน่อย สามารถจะขยายหลักการไปใช้ผสมความหมายไพ่ให้เป็นเรื่องราวต่างๆได้อีกมากมาย
ขณะเดียวกัน ในส่วนของความหมายไพ่ ก็มีการพัฒนาไปบ้างตามยุคสมัย เช่น 9 ดอกจิก ตำราว่าหมายถึง การเดินทางในฟากฟ้ากว้าง การเดินทางทางอากาศ ทั้งภายในและต่างประเทศ ทั้งเพื่อการท่องเที่ยวและธุรกิจ ขณะที่เราอยู่บนฟ้าอันสูงโพ้น 9 ดอกจิก ยังบ่งบอกถึงวิญญาณแห่งการท่องเที่ยวที่มีขอบเขตดังเช่นเส้นขอบฟ้า (จากรูป : ผมยังช็อตโน้ตไว้ด้วยว่า อาจหมายถึงการเดินทางสั้นๆ) ที่ว่าความหมายมีการพัฒนาไปก็เพราะว่า สมัยก่อนไม่มีการเดินทางทางอากาศ แม้แต่ มาดาม เลอนอร์มองด์ ก็คงไม่มีคำทำนายแบบนี้ เพราะไม่เคยคิดว่าคนเราจะเดินทางทางอากาศกันได้อย่างไร แต่พอมาถึงยุคของ หลุยส์ วู้ดส์ เขาสามารถที่จะนำจิตวิญญาณของไพ่แต่ละใบมาประยุกต์ให้สอดคล้องกับเหตุการ์ปัจจุบันได้
ไพ่ป๊อกที่ผมเอาไว้ดูดวงโดยเฉพาะ หลักๆก็มีอยู่ 2 สำรับครับ ในภาพ ชุดแถวบนเป็นขอบเหลือง ส่วนแถวล่างเป็นขอบทอง จะเห็นว่าแถวบนพลาสติกเริ่มเก่าจนเป็นสีเหลืองแล้ว เพราะซื้อมาใช้เป็นชุดแรก
ส่วนชุดอื่นๆก็เป็นของสะสม เช่นชุดนี้เป็นไพ่ของนิวซีแลนด์
ชุดนี้ของเยอรมนี ไพ่คอร์ตมีหน้าตาสวยงาม ทั้งสำรับมีจำนวน 26 ใบ คือจะไม่มีไพ่เบอร์ 2-6 เหมาะอย่างยิ่งกับการนำมาใช้ดูดวงแบบไทย ที่เราอาจคุ้นตากับการวางไพ่เป็นรูปวงกลม การดูดวงแบบไพ่ป๊อกไทยนั้น หมอดูจะต้องเอาไพ่เบอร์ 2 ถึงเบอร์ 6 ออกจากสำรับไปซะก่อน ไม่ได้เอามาใช้ทำนายด้วย
สำหรับชุดนี้ภูมิใจเสนอครับ ไพ่ทาโรต์ยุคโบราณ ที่มีรูปร่างหน้าตาแบบไพ่ป๊อก เพื่อนซื้อมาฝากจากฝรั่งเศส คนที่นั่นเขาเอาไพ่ทาโรต์แบบนี้มาเล่นเป็นเกม เหมือนเราเอาไพ่ป๊อกมาเล่นสลาฟ เล่นป๊อกเด้งอะไรแบบนั้น ไพ่ชุดนี้จะมีเอกสารวิธีเล่นเกมแนบมาให้ด้วย (เป็นภาษาฝรั่งเศส)
หน้าตาของมันจะมีไพ่ป๊อกหรือไพ่ไมเนอร์ 40 ใบ ไพ่คอร์ต 17 ใบ และไพ่เมเจอร์อีก 21 ใบ ซึ่งไพ่เมเจอร์จะมีรูปภาพเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนสมัยก่อน ไพ่หัวตั้งและหัวกลับของแต่ละใบจะมีรูปภาพไม่เหมือนกัน ทำให้ได้ความหมายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
หมอตำแย
ในประเทศไทยสมัยก่อนการเกิดมักเป็นหน้าที่ของ ผู้หญิง ที่มีประสบการณ์ ในการทำคลอดที่เราเรียกว่า หมอตำแย มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหมอตำแย มากมายโดยเฉพาะใน ท้องถิ่นที่ยังไม่ได้รับความเจริญเช่นปัจจุบัน หมอตำแยของไทยจะมีฐานะที่เป็นที่ยอมรับในสังคมมาก หมอตำแยมักจะไปให้บริการตามบ้านของผู้ที่จะคลอด จนกระทั่งประเทศไทยได้มีการเปิดการเรียนการสอนในวิชาผดุงครรถ์ ในเวลาต่อมา จึงทำให้คนไทยได้เรียนรู้เรื่องการทำคลอดมากขึ้น และ แน่นอนว่าวิชาที่เป็นหลักการและ เอกสารนั้นมักจะมาจากต่างประเทศ ในอดีตนั้นประเทศไทยจะไม่มีหมอตำแยที่เป็นผู้ชายเลย ซึ่งสอดคล้องกับ หมอตำแยของฝรั่งที่เราเรียกว่า “ nobilitas obstertricum” ซึ่งเป็นภาษาละติน หรือ “midwives” หมายถึง คนในระดับชั้นสูงที่ทำหน้าที่ทำคลอด เนื่องจากบุคคลที่จะทำคลอดในสมัยแรกเริ่มของโลกนั้นชาวตะวันตกมองว่าเป็นหน้าที่ของชนชั้นสูงในสังคม และ เป็นหน้าที่ของสตรีเท่านั้น โดยการเป็นผู้ทำคลอดนี้ถือว่าเป็น หน้าที่ที่ควรได้รับค่าตอบแทน และ การยอมรับต่อสาธารณะเป็นอย่างยิ่ง การเรียนรู้ในเรื่องการทำคลอด ตลอดจน การประดิษฐอุปกรณ์ต่างๆ และได้สอนตกกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้หน้าที่ของ midwives พัฒนาการข้ามไปสู่เรื่องศาสตร์ของการผ่าตัด ซึ่งในตอนนั้นศาสตร์นี้ ยังไม่เป็นที่ยอมรับและยกย่อง midwives มากนัก การพัฒนาการของการทำคลอดได้ผ่านมาจนถึง การศึกษาอย่างจริงจังในเรื่อง “ สูติศาสตร์ Obstetrics” ในช่วงเวลาต่อมา
Axel Hinrich Murken ได้ค้นคว้าเกี่ยวกับคลินิก หรือ โรงเรียนที่ สอนเกี่ยวกับ สูติศาสตร์ พบว่า ในช่วงศตวรรษที่ 18 มีคลินิกที่เกี่ยวกับสูติกรรมเกิดขึ้นถึง 1800 แห่งโดยการดัดแปลงจากบ้านพักอาศัย เป็นสถานที่สอนสำหรับ หมอใหม่ และ midwives แต่ โชคร้ายที่การทำคลอดในช่วง เวลาดังกล่าวมีอัตตราการเสียชีวตของ แม่ หรือ เด็ก สูงมากจากโรค “puerperal fever” จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1847 หมอ Lgnaz Philipp Semmelweis ได้ค้นพบ และ อธิบายถึงสาเหตุในการติดเชื้อ และ การเสียชีวิตที่เกิดขึ้นจาก แบคทีเรีย นอกจากนั้นคุณหมอยัง แสดง วิธีการป้องกันการติดเชื้อเบื้องต้น โดยการล้างมือ ผู้ที่จะทำคลอดด้วยยาฆ่าเชื้อในสมัยนั้น ทำให้อัตตราการสุญเสียลดลงอย่างรวดเร็ว นับว่าเป็นก้าวกระดดที่สำคัญในวงการสูติสาสตร์ทีเดียว จนในศตวรรษที่ 20 ในช่วงยุคอุตสหกรรม อัตตราการเกิดของทารก มีเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ความนิยมในการคลอดที่บ้านเริ่มลดลง เนื่องจากสถานพยาบาลสำหรับให้บริการทาง สูติกรรม เริ่ม มีมากขึ้น และ มีความปลอดภัยกว่า
สำหรับในประเทศไทย ผู้เขียนขออนุญาต เขียนบรรยายจากความทรงจำในวัยเด็กที่คุณยาย ( นาง ยุพา ลิมปกพันธ์ ) ซึ่งสำเร็จวิชาผดุงครรถ์ จากวชิระพยาบาล ซึ่งในสมัยที่ท่านจบการศึกษาเป็นช่วงเสร็จสิ้น สงครามโลกใหม่ๆ จึงเรียกว่า ผดุงครรถ์ รุ่นสงครามโลก ( ครั้งที่สอง ) คุณยาย เล่าให้ฟังว่าหลังสงครามโลก ในตามจังหวัดใหญ่ๆต่างๆจะมีโรงพยาบาล และ มี สูติแพทยบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่พอกับความต้องการ เพราะช่วงนั้นประเทศไทยเริ่มมีอัตตราการเกิดที่สูงมากขึ้น และถนนหนทางยังไม่สะดวกเช่นปัจจุบัน ทำให้พยาบาล รุ่นที่ท่านจบ ต้องกลับรีบไปต่างจังหวัด ส่วนท่านได้ลาออกจากราชการ และ ดัดแปลงบ้านของตนเองเป็น สถานพยาบาล สำหรับบริการด้านสูติกรรม ได้เงินบ้างไม่ได้เงินบ้าง แต่ก็ทำให้ท่านได้รับการยอมรับจากสังคม เสมือน แพทย์คนหนึ่งทีเดียว จากนั้นการให้บริการทางสูติกรรมก็ก้าวหน้าขึ้นมี แพทย์ และ พยาบาลเฉพาะทาง จบมามากมาย ตลอดจนมีกฎหมาย ที่เกี่ยวกับการประกอบโรคศิลป์ มาบังคับใช้ ทำให้อาชีพหมอตำแยได้ลดน้อยลงตามลำดับ
Axel Hinrich Murken ได้ค้นคว้าเกี่ยวกับคลินิก หรือ โรงเรียนที่ สอนเกี่ยวกับ สูติศาสตร์ พบว่า ในช่วงศตวรรษที่ 18 มีคลินิกที่เกี่ยวกับสูติกรรมเกิดขึ้นถึง 1800 แห่งโดยการดัดแปลงจากบ้านพักอาศัย เป็นสถานที่สอนสำหรับ หมอใหม่ และ midwives แต่ โชคร้ายที่การทำคลอดในช่วง เวลาดังกล่าวมีอัตตราการเสียชีวตของ แม่ หรือ เด็ก สูงมากจากโรค “puerperal fever” จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1847 หมอ Lgnaz Philipp Semmelweis ได้ค้นพบ และ อธิบายถึงสาเหตุในการติดเชื้อ และ การเสียชีวิตที่เกิดขึ้นจาก แบคทีเรีย นอกจากนั้นคุณหมอยัง แสดง วิธีการป้องกันการติดเชื้อเบื้องต้น โดยการล้างมือ ผู้ที่จะทำคลอดด้วยยาฆ่าเชื้อในสมัยนั้น ทำให้อัตตราการสุญเสียลดลงอย่างรวดเร็ว นับว่าเป็นก้าวกระดดที่สำคัญในวงการสูติสาสตร์ทีเดียว จนในศตวรรษที่ 20 ในช่วงยุคอุตสหกรรม อัตตราการเกิดของทารก มีเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ความนิยมในการคลอดที่บ้านเริ่มลดลง เนื่องจากสถานพยาบาลสำหรับให้บริการทาง สูติกรรม เริ่ม มีมากขึ้น และ มีความปลอดภัยกว่า
สำหรับในประเทศไทย ผู้เขียนขออนุญาต เขียนบรรยายจากความทรงจำในวัยเด็กที่คุณยาย ( นาง ยุพา ลิมปกพันธ์ ) ซึ่งสำเร็จวิชาผดุงครรถ์ จากวชิระพยาบาล ซึ่งในสมัยที่ท่านจบการศึกษาเป็นช่วงเสร็จสิ้น สงครามโลกใหม่ๆ จึงเรียกว่า ผดุงครรถ์ รุ่นสงครามโลก ( ครั้งที่สอง ) คุณยาย เล่าให้ฟังว่าหลังสงครามโลก ในตามจังหวัดใหญ่ๆต่างๆจะมีโรงพยาบาล และ มี สูติแพทยบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่พอกับความต้องการ เพราะช่วงนั้นประเทศไทยเริ่มมีอัตตราการเกิดที่สูงมากขึ้น และถนนหนทางยังไม่สะดวกเช่นปัจจุบัน ทำให้พยาบาล รุ่นที่ท่านจบ ต้องกลับรีบไปต่างจังหวัด ส่วนท่านได้ลาออกจากราชการ และ ดัดแปลงบ้านของตนเองเป็น สถานพยาบาล สำหรับบริการด้านสูติกรรม ได้เงินบ้างไม่ได้เงินบ้าง แต่ก็ทำให้ท่านได้รับการยอมรับจากสังคม เสมือน แพทย์คนหนึ่งทีเดียว จากนั้นการให้บริการทางสูติกรรมก็ก้าวหน้าขึ้นมี แพทย์ และ พยาบาลเฉพาะทาง จบมามากมาย ตลอดจนมีกฎหมาย ที่เกี่ยวกับการประกอบโรคศิลป์ มาบังคับใช้ ทำให้อาชีพหมอตำแยได้ลดน้อยลงตามลำดับ
สมุนไพรสลอด
เมื่อหลายปีก่อน ข้าพเจ้าเพิ่งเริ่มศึกษาแพทย์แผนไทย และสงสัยเอามากๆ ว่าทำไมวิธีประสะลูกสลอดจึงยุ่งยาก
ลำบาก แล้วตัวยาที่อันตรายแบบนี้จะนำมาใช้ทำไม? มาวันนี้ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่า สลอดคือตัวยาที่มีพิษแต่มีคุณอนันต์เพราะต่างประเทศได้นำสลอดต้นไปวิจัยและพบว่ามีฤทธิทางเภสัชในการฆ่าเซลล์มะเร็ง
แต่น่าเสียดายที่ทุกวันนี้มีผู้ไม่หวังดีต่อภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ได้ใช้สลอดต้นกลั่นแกล้งพระเณรใน
ชนบทเพื่อให้ทางการออกกฎระเบียบ (ซึ่งข้าพเจ้ายังไม่รู้ว่าอยู่ในพรบ.ฉบับใด) ให้ทำลายต้นสลอดเสมือนหนึ่งว่าสลอดต้นเป็นยาเสพติดให้โทษ อย่างเช่น ฝิ่น ทำให้ลูกสลอด และส่วนต่างๆ ของสลอดต้น ไม่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาแผนโบราณ เหมือนสมัยก่อน
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงสงสัยว่าแพทย์แผนไทยจะเจริญงอกงามได้อย่างไร หากตำรับยาโบราณที่บรรพบุรุษได้
มอบไว้มียาสลอดจะถูกปิดกั้นด้วย hidden agenda ของต่างชาติ ท่านที่มีความรู้ทางกฎหมายช่วย
กันวิเคราะห์ทีว่า มาตรา 12 แห่งพรบ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.๒๕๔๒
ระบุว่า "ให้มีสถาบันการแพทย์แผนไทยในสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข มีอำนาจหน้าที่
ดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับการคุ้มครองและส่งเสริมการศึกษาอบรม การศึกษาวิจัยและพัฒนาภูมิปัญญา
การแพทย์แผนไทยและสมุนไพร และรับผิดชอบในงานธุรการและงานวิชาการของคณะกรรมการ" จะมี
อำนาจหน้าที่แก้ไข hidden agenda ดังกล่าวได้หรือไม่
ข้าพเจ้าพยายามค้นหาในเว็บนี้ว่ามีเรื่องเกี่ยวกับสลอดต้นหรือไม่ ปรากฎว่ามีแต่หัวข้อ จึงขอให้ข้อมูลดังนี้
สลอด หรือ สลอดต้น (Croton tiglium Linn.) วงศ์ Euphorbiaceae เป็นไม้พุ่ม ใบเดี่ยวเรียงสลับ
ใบรูปไข่ ปลายแหลม ฐานกลม ขอบใบหยักเป็นซี่ฟัน เนื้อใบบาง มีต่อมที่ฐานใบสองต่อม ดอกเล็ก ออกเดี่ยวหรือเป็นช่อที่ยอด ดอกมีขน ผลรูปไข่ สีน้ำตาลอ่อน แก่จัดจะแห้งและแตก
ในใบสลอด มี hydrocynaic acid, triperpinoid ส่วนในเมล็ด มีโปรตีนที่เป็นพิษ ๒ ชนิดคือ croton globulin และ croton albumin นอกจากนี้ก็มี น้ำตาล sucrose และ glycoside crotonosideให้น้ำมันสลอดที่ประกอบด้วย oleic, linoleic, arachidic, myristic, stearic, palmitic, acetic และ formic acid นอกจากนี้ยังมีกรด lauric, tiglic, valeric, butyric และ free amino acids อีกหลายตัว
สรรพคุณทางยา : ราก ต้มน้ำดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ แก้บวมน้ำ ถ้ากินมาก อาจทำให้แท้ง รากและไส้มีรสเมาร้อน แก้โรคเรื้อน
เปลือกต้น มีรสเฝื่อน แก้เสมหะที่ค้างอยู่ในคอในอก
เนื้อไม้ ต้มน้ำดื่ม ทำให้อาเจียน ขับเหงื่อ เป็นยาขับปัสสาวะ
ใบ รสฝาดเมา ตำพอกแก้ฝีตะมอย
ดอก รสฝาดเมาเย็น ดับธาตุไฟมิให้กำเริบ แก้ลมอัมพฤกษ์ แก้กลากเกลื้อน แก้คุดทะราด
เมล็ด รสเผ็ดร้อนมัน เมล็ดมีพิษมาก ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะเป็นยาถ่ายอย่างแรงและเป็นพิษ ก่อนใช้ประกอบยาต้องฆ่าฤทธิ์ยาตามตำรับกำหนดไว้เสียก่อน จึงจะใช้เป็นยาถ่ายพิษเสมหะและโลหิต
ถ่ายน้ำเหลือง ถ่ายลม ถ่ายพยาธิ แก้การผิดปกติของจิตประสาท แก้โรคลมชักบางชนิด แก้ท้องผูกที่ใช้
ยาอื่นไม่ได้ผล ขับพยาธิในลำไส้ แก้ท้องมาน บวมน้ำ ขับลม แก้ปวดท้อง แก้โรคเก๊าท์
ยาง จากทุกส่วนของต้นและเมล็ด มีพิษ
น้ำมันที่สกัดจากเมล็ด เป็นยาถ่ายอย่างแรง และมีพิษมาก ใช้เพียง 1 หยดก็มากพอ
ลำบาก แล้วตัวยาที่อันตรายแบบนี้จะนำมาใช้ทำไม? มาวันนี้ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่า สลอดคือตัวยาที่มีพิษแต่มีคุณอนันต์เพราะต่างประเทศได้นำสลอดต้นไปวิจัยและพบว่ามีฤทธิทางเภสัชในการฆ่าเซลล์มะเร็ง
แต่น่าเสียดายที่ทุกวันนี้มีผู้ไม่หวังดีต่อภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ได้ใช้สลอดต้นกลั่นแกล้งพระเณรใน
ชนบทเพื่อให้ทางการออกกฎระเบียบ (ซึ่งข้าพเจ้ายังไม่รู้ว่าอยู่ในพรบ.ฉบับใด) ให้ทำลายต้นสลอดเสมือนหนึ่งว่าสลอดต้นเป็นยาเสพติดให้โทษ อย่างเช่น ฝิ่น ทำให้ลูกสลอด และส่วนต่างๆ ของสลอดต้น ไม่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาแผนโบราณ เหมือนสมัยก่อน
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงสงสัยว่าแพทย์แผนไทยจะเจริญงอกงามได้อย่างไร หากตำรับยาโบราณที่บรรพบุรุษได้
มอบไว้มียาสลอดจะถูกปิดกั้นด้วย hidden agenda ของต่างชาติ ท่านที่มีความรู้ทางกฎหมายช่วย
กันวิเคราะห์ทีว่า มาตรา 12 แห่งพรบ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.๒๕๔๒
ระบุว่า "ให้มีสถาบันการแพทย์แผนไทยในสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข มีอำนาจหน้าที่
ดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับการคุ้มครองและส่งเสริมการศึกษาอบรม การศึกษาวิจัยและพัฒนาภูมิปัญญา
การแพทย์แผนไทยและสมุนไพร และรับผิดชอบในงานธุรการและงานวิชาการของคณะกรรมการ" จะมี
อำนาจหน้าที่แก้ไข hidden agenda ดังกล่าวได้หรือไม่
ข้าพเจ้าพยายามค้นหาในเว็บนี้ว่ามีเรื่องเกี่ยวกับสลอดต้นหรือไม่ ปรากฎว่ามีแต่หัวข้อ จึงขอให้ข้อมูลดังนี้
สลอด หรือ สลอดต้น (Croton tiglium Linn.) วงศ์ Euphorbiaceae เป็นไม้พุ่ม ใบเดี่ยวเรียงสลับ
ใบรูปไข่ ปลายแหลม ฐานกลม ขอบใบหยักเป็นซี่ฟัน เนื้อใบบาง มีต่อมที่ฐานใบสองต่อม ดอกเล็ก ออกเดี่ยวหรือเป็นช่อที่ยอด ดอกมีขน ผลรูปไข่ สีน้ำตาลอ่อน แก่จัดจะแห้งและแตก
ในใบสลอด มี hydrocynaic acid, triperpinoid ส่วนในเมล็ด มีโปรตีนที่เป็นพิษ ๒ ชนิดคือ croton globulin และ croton albumin นอกจากนี้ก็มี น้ำตาล sucrose และ glycoside crotonosideให้น้ำมันสลอดที่ประกอบด้วย oleic, linoleic, arachidic, myristic, stearic, palmitic, acetic และ formic acid นอกจากนี้ยังมีกรด lauric, tiglic, valeric, butyric และ free amino acids อีกหลายตัว
สรรพคุณทางยา : ราก ต้มน้ำดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ แก้บวมน้ำ ถ้ากินมาก อาจทำให้แท้ง รากและไส้มีรสเมาร้อน แก้โรคเรื้อน
เปลือกต้น มีรสเฝื่อน แก้เสมหะที่ค้างอยู่ในคอในอก
เนื้อไม้ ต้มน้ำดื่ม ทำให้อาเจียน ขับเหงื่อ เป็นยาขับปัสสาวะ
ใบ รสฝาดเมา ตำพอกแก้ฝีตะมอย
ดอก รสฝาดเมาเย็น ดับธาตุไฟมิให้กำเริบ แก้ลมอัมพฤกษ์ แก้กลากเกลื้อน แก้คุดทะราด
เมล็ด รสเผ็ดร้อนมัน เมล็ดมีพิษมาก ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะเป็นยาถ่ายอย่างแรงและเป็นพิษ ก่อนใช้ประกอบยาต้องฆ่าฤทธิ์ยาตามตำรับกำหนดไว้เสียก่อน จึงจะใช้เป็นยาถ่ายพิษเสมหะและโลหิต
ถ่ายน้ำเหลือง ถ่ายลม ถ่ายพยาธิ แก้การผิดปกติของจิตประสาท แก้โรคลมชักบางชนิด แก้ท้องผูกที่ใช้
ยาอื่นไม่ได้ผล ขับพยาธิในลำไส้ แก้ท้องมาน บวมน้ำ ขับลม แก้ปวดท้อง แก้โรคเก๊าท์
ยาง จากทุกส่วนของต้นและเมล็ด มีพิษ
น้ำมันที่สกัดจากเมล็ด เป็นยาถ่ายอย่างแรง และมีพิษมาก ใช้เพียง 1 หยดก็มากพอ
กินยาคัมทำไมยังท้องได้ น้อ ?
เราไม่ใช่หุ่นยนต์....ในโลกอุคมคติ ถุงยางอนามัยไม่มีวันรั่ว และเราทุกคนไม่มีทางลืมเวลาแน่นอนที่ต้องกินยาคุมทุกวัน แต่ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้....ถ้าคุณสาวๆลืมกินยาคุม คุณสาวๆยังจะปลอดภัยจากการตั้งครรภ์อยุ่ถ้ารีบกินยาเม็ดที่ลืมนั่นภายใน 12 ชั่วโมง ให้คุณสาวๆรีบกินยาเม็ดที่ลืมนั่นทันทีนึกขึ้นได้ ส่วนที่เหลือก็กินตามเวลาปกติ คุณสาวๆอาจมีไข่ตกภายใน 7 วันนับจากวันที่ลืมกินกินนั้น ดังนั้นถ้าคุณสาวๆไม่อยากเสื่ยงตั้งครรภ์ ให้ใช้วิธีคุมกําเนิดอื่นร่วมด้วยนะครับ
ผุ้หญิงอ้วนใช้ไม่ค่อยได้ผล งานวิจัยพบว่ายาเม็ดคุมกําเนิดจะมีโอกาสล้มเหลวสูงเมื่อใช้กับผุ้หญิงที่มีดัชนีมวลรวมของร่างกายหรือBMI ตั้งแต่ 27.3 ขึ้นไป ความเสื่ยงที่จะตั้งครรภ์ของผุ้หญิงกลุ่มนี้สูงกว่าผุ้หญิงที่มี BMI ปกติ และสาเหตุของความล้มเหลวที่เป้นไปได้มีหลายกรณีรวมทั้งอัตราการเผาผลาญที่เพี่มขึ้น และระดับฮอร์โมนในเลือดที่ตําลงด้วย
ยาที่กินอยุ่ ยาบางตัว และปัญหาสูขภาพบางอย่าง เช่น อาเจืยน ท้องเสีย และไข้สูง ก็อาจลดประสิทธิภาพของยาคุมกําเนิดได้ คุณสาวๆต้องป้องกันมากขึ้นถ้าร่างกายยังไม่ย่อยยาคุมกําเนิด เพราะร่างกายอาจไม่มีเวลาดูดซึมฮอร์โมนเหล่านั้นในยาคุม ยาปฏิชีวนะและยาอื่นๆ เช่น ยาแก้ชัก ก็อาจลดหรือทําให้ประสิทธิภาพของยาไม่เป็นผลก็ได้
เมื่อไม่แน่ใจ....ถ้าคุณสาวๆกินยาคุมอยุ่ แต่คิดว่าอาจผิดพลาดตั้งครรภ์ได้ ให้ใช้วิธีคุมกําเนิดอื่นๆ ควบคุ่กันไปติดต่อ 7 วัน หลังจากวันที่คุณสาวๆลืมกินยาคุม หรือวันที่คุณเป็นไข้ หรือกินยาปฏิชีวนะอื่นๆ อีกทางเลือกหนึ่งคือไปปรึกษาแพทย์เกื่ยวกับวิธีคุมกําเนิดอื่นๆ เช่น ฉีดยาคุมกําเนิดหรือฝังแผ่นคุมกําเนิดไว้ใต้ผิวหนัง น่ายินดีวิธีคุมกําเนิดเหล่านี้ไม่มีผลทําให้เกิดอาการหลงลืมหรืออาการเจ็บป่วย * ข้อมูลที่น่าตกใจก็คืออัตราการตั้งครรภ์ทั้งที่ยังกินยาคุมมีอยุ่สูงถึง 16 % *
ครับนี่คือทริปเรื่อง กินยาคุม แล้วทําไมถึงท้องได้ ที่ผมนํามาฝากในวันนี้นะครับ หวังว่าจะช่วยแก้ข้อข้องใจของคนที่อยุ่ระหว่างกินยาคุมอยุ่นะครับ ส่วนคนที่ไม่ได้กินยาคุมก็อ่านไว้ไม่เสียหายนะครับ สวัสดีครับ
ผุ้หญิงอ้วนใช้ไม่ค่อยได้ผล งานวิจัยพบว่ายาเม็ดคุมกําเนิดจะมีโอกาสล้มเหลวสูงเมื่อใช้กับผุ้หญิงที่มีดัชนีมวลรวมของร่างกายหรือBMI ตั้งแต่ 27.3 ขึ้นไป ความเสื่ยงที่จะตั้งครรภ์ของผุ้หญิงกลุ่มนี้สูงกว่าผุ้หญิงที่มี BMI ปกติ และสาเหตุของความล้มเหลวที่เป้นไปได้มีหลายกรณีรวมทั้งอัตราการเผาผลาญที่เพี่มขึ้น และระดับฮอร์โมนในเลือดที่ตําลงด้วย
ยาที่กินอยุ่ ยาบางตัว และปัญหาสูขภาพบางอย่าง เช่น อาเจืยน ท้องเสีย และไข้สูง ก็อาจลดประสิทธิภาพของยาคุมกําเนิดได้ คุณสาวๆต้องป้องกันมากขึ้นถ้าร่างกายยังไม่ย่อยยาคุมกําเนิด เพราะร่างกายอาจไม่มีเวลาดูดซึมฮอร์โมนเหล่านั้นในยาคุม ยาปฏิชีวนะและยาอื่นๆ เช่น ยาแก้ชัก ก็อาจลดหรือทําให้ประสิทธิภาพของยาไม่เป็นผลก็ได้
เมื่อไม่แน่ใจ....ถ้าคุณสาวๆกินยาคุมอยุ่ แต่คิดว่าอาจผิดพลาดตั้งครรภ์ได้ ให้ใช้วิธีคุมกําเนิดอื่นๆ ควบคุ่กันไปติดต่อ 7 วัน หลังจากวันที่คุณสาวๆลืมกินยาคุม หรือวันที่คุณเป็นไข้ หรือกินยาปฏิชีวนะอื่นๆ อีกทางเลือกหนึ่งคือไปปรึกษาแพทย์เกื่ยวกับวิธีคุมกําเนิดอื่นๆ เช่น ฉีดยาคุมกําเนิดหรือฝังแผ่นคุมกําเนิดไว้ใต้ผิวหนัง น่ายินดีวิธีคุมกําเนิดเหล่านี้ไม่มีผลทําให้เกิดอาการหลงลืมหรืออาการเจ็บป่วย * ข้อมูลที่น่าตกใจก็คืออัตราการตั้งครรภ์ทั้งที่ยังกินยาคุมมีอยุ่สูงถึง 16 % *
ครับนี่คือทริปเรื่อง กินยาคุม แล้วทําไมถึงท้องได้ ที่ผมนํามาฝากในวันนี้นะครับ หวังว่าจะช่วยแก้ข้อข้องใจของคนที่อยุ่ระหว่างกินยาคุมอยุ่นะครับ ส่วนคนที่ไม่ได้กินยาคุมก็อ่านไว้ไม่เสียหายนะครับ สวัสดีครับ
12วิธีการวิ่งที่ไม่ให้ปวดเข่า
การวิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ดีและทำได้ง่าย แต่บางครั้งเทคนิคการวิ่งที่ไม่ถูกต้องรองเท้าหรือบริเวณที่วิ่งไม่เหมาะสม มีภาวะโรคเกี่ยวกับข้อหรือสภาพร่างกายไม่อำนวย ก็อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ |
อาการปวดเข่าที่พบได้บ่อยจากการวิ่งเกิดจากการบาดเจ็บซ้ำๆของกระดูกอ่อน ของกระดูกสะบ้าหัวเข่า และกระดูกหัวเข่า เทคนิคการป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดเข่าขณะวิ่งมีดังนี้ |
การยืดกล้ามเนื้อรอบเข่าและข้อเท้าให้เพียงพอ ควรยืดช้าๆ ค้างไว้ 10-15 วินาทีต่อครั้ง ทำประมาณ 5-10 ครั้งต่อมัดและหมั่นออกกำลังกล้ามเนื้อต้นขาโดยการเหยียดเข่าตรงและเกร็งค้างไว้ 5 วินาทีต่อครั้ง ทำประมาณ 10-20 ครั้งต่อวัน |
วอร์มอัพให้เพียงพอ โดยเริ่มจากการเดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆก่อนที่จะวิ่งเต็มที่ เพื่อการปรับตัวของกล้ามเนื้อระบบไหลเวียนโลหิต และระบบการหายใจ |
รองเท้าวิ่ง ควรมีพื้นกันแรงกระแทกที่เพียงพอและมีความกระชับพอดีกับเท้า โดยทั่วไปถ้าต้องการวิ่งออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ให้เลือกรองเท้าแบบ cross training |
บริเวณที่วิ่ง ควรเป็นพื้นที่เสมอกันไม่ควรวิ่งบริเวณที่เป็นพื้นเอียงหรือบริเวณที่มีการหักเลี้ยวอย่างเฉียบพลัน พื้นวิ่งที่ดีที่สุดคือพื้นยางสังเคราะห์หรือพื้นดิน เพราะมีความนุ่มและเก็บพลังงานเพื่อเปลี่ยนเป็นแรงส่งตัวได้ดี ถ้าจะวิ่งบนพื้นคอนกรีต ควรเลือกรองเท้าที่รับแรงกระแทกอย่างเพียงพอ |
ไม่ควรวิ่งก้าวเท้ายาวเกินไป หรือยกเข่าสูงเกินไป เพราะทำให้ข้อเข่าต้องงอมากเกินความจำเป็น ทำให้เกิดปัญหาปวดเข่าได้ง่ายขึ้น ส่วนแขนก็ควรงอเพียงเล็กน้อยและแก่วงข้างลำตัว ในกรณีที่คุณมีปัญหาปวดหลังหรือน้ำหนักตัวมาก ควรแกว่งแขนให้ค่อนมาทางด้านหลังเพื่อไม่ให้ลำตัวก้มไปข้างหน้ามากเกินไปด้วย |
ควรวิ่งโดยลงน้ำหนักที่ส้นเท้า การวิ่งโดยลงน้ำหนักที่ปลายเท้านานๆจะทำให้เกิดแรงกระชากพังผืดฝ่าเท้า ปวดกล้ามเนื้อน่อง และยังเกิดแนวแรงที่ผิดปกติที่ผ่านต่อข้อเข่า ทำให้ต้องงอเข่ามากขึ้นขณะวิ่ง อาจทำให้เกิดการปวดเข่าด้านหน้าอีกด้วย |
ไม่ควรวิ่งขึ้นเนิน ถ้าคุณมีปัญหาที่ข้อเข่าบ่อยๆ ถ้าจะวิ่งขึ้นเนินให้เอนลำตัวไปด้านหน้า ก้าวเท้าให้สั้นลงและมองตรงไปข้างหน้า ไม่ควรแหงนหน้าขึ้น ถ้าจะวิ่งลงเนิน พยายามให้ลำตัวตั้งตรง เพื่อกันการเสียหลักได้ และควรก้าวเท้าให้ยาวขึ้นและเร็วขึ้นกว่าปกติ |
ถ้าคุณมีภาวะข้อเสื่อมอย่างชัดเจน ควรออกกำลังกายด้วยวิธีอื่นแทนการวิ่ง |
ระยะทางที่วิ่งต้องเหมาะสม ถ้าจะเพิ่มระยะทาง ก็ควรเพิ่มช้าๆในแต่ละสัปดาห์ |
เมื่อใกล้จะหยุดวิ่ง ค่อยๆลดความเร็วลง และควรเดินต่ออีกสักพักเพื่อให้ร่างกายได้ชะเอากรดแล็กติกออกไปจากกล้ามเนื้อบ้าง ช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อหลังวิ่งในวันรุ่งขึ้น |
หมั่นออกกำลังกายกล้ามเนื้อต้นขา โดยการเหยียดเข่าตรงและเกร็งค้างไว้ 8 วินาทีต่อครั้ง ทำประมาณ 10-20 ครั้งต่อวัน |
เมื่อได้ปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้แล้ว ถ้ายังคงมีอาการปวดเข่าหรือข้ออื่นๆอยู่ ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง เพื่อการรักษาที่เหมาะสมต่อไป |
การนอนดึก...ยิ่ง เร่งวันตาย ?
การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว) ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก
1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า
2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้
ระบบการย่อยอาหาร
ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า
แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อ! อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อ ! ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนม แทนไข่)
ท้องผูก มี 2 ลักษณะ
1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า
กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มี แรงบีบให้ออกจนหมด ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความ
สกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่ง มันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจาก ท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมา ได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วย ทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผง เป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หา ถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา
ระบบปัสสาวะ
ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออ กมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่ แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง
สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง
การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะแล ะเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ
หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่ แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงาน หนัก ระบบหายใจ ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่ อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ ได้ แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้ เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้า
เราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย
1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า
2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้
ระบบการย่อยอาหาร
ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า
แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อ! อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อ ! ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนม แทนไข่)
ท้องผูก มี 2 ลักษณะ
1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า
กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มี แรงบีบให้ออกจนหมด ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความ
สกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่ง มันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจาก ท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมา ได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วย ทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผง เป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หา ถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา
ระบบปัสสาวะ
ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออ กมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่ แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง
สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง
การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะแล ะเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ
หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่ แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงาน หนัก ระบบหายใจ ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่ อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ ได้ แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้ เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้า
เราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย
นอนกรน......มีสาเหตุจากอะไร
เด็ก |
ในเด็ก อาการนอนกรน มักมีสาเหตุมาจาก
|
|
ผู้ใหญ่
|
|
การนั่งสมาธิตามแนววิปัสสนากรรมฐาน
การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น ท่านแนะนำให้ทำต่อเนื่องทุกวัน โดยท่านแนะให้เดินจงกรมก่อนทุกครั้ง แล้วประคองสติต่อจากการ เดินจงกรม ลงนั่งสมาธิ
(๑) ท่านั่ง - สำคัญตรงไม่นั่งพิงอะไร
การนั่งสมาธิแบบวิปัสสนา ต้องดูสัปปายะคือดูความเหมาะสมพอดีของตน จะนั่งเก้าอี้หรือนั่งขัดสมาธิกับพื้นโดยมีอาสนะบางๆ รอง หรือจะนั่งท่าหนึ่งท่าใดที่สบายแก่ตนก็ได้ (แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน)
ดังนั้น จะนั่งห้อยเท้าบนเก้าอี้ หรือว่าจะนั่งกับพื้นขัดสมาธิอยู่ หรือจะนั่งท่าใดๆ ก็ตาม ก็ไม่เป็นไร ที่สำคัญคือ พยายามไม่นั่งพิง คือ พยายามนั่งให้หลังไม่พิงกับอะไร เพราะว่าตรงนี้สำคัญ คือ การเจริญสติอยู่นั้น ถ้าเมื่อได้หลังค้อมก้มลงมาข้างหน้า หรือหลังหงายไปไม่ตั้งตรงอยู่ ก็แสดงว่าผู้ปฏิบัติได้เผลอสติไป ดังนั้น การไม่นั่งพิงอะไร จะทำให้ดำรงสติอยู่ได้เสมอ และเมื่อเผลอหลับก็ตาม ตกภวังค์ก็ตาม หรืออาการใดๆ เกิด ที่ทำให้หลังไม่ตั้งตรงทรงอยู่อย่างมั่นคง ก็จะได้รู้ตัว และมีสติ ตั้งหลังให้ตรงอยู่เสมอๆ
(๒) การกำหนดสติ
ในการนั่งสมาธิแบบวิปัสสนา จะเป็นการมีสติดูอาการใดๆ ก็ตาม ที่เกิดขึ้นของกายก็ตาม ใจก็ตาม (คือ ที่ตาก็ตาม หู จมูก ลิ้น กายหรือใจก็ตาม) ในขณะนั้นๆ ในวินาทีนั้นๆ กล่าวคือ อะไรเด่นชัด ชัดเจนที่สุด ก็ดูตรงนั้นไปเรื่อยๆ อาทิ ถ้ากายปรากฏชัดเจน ก็เอาสติไปดูกาย ไปเรื่อยๆ ถ้าอาการพองยุบที่ท้องชัดเจน ก็มีสติตามรู้อาการไปเรื่อยๆ ถ้าการกระทบ อาทิ กายส่วนใดที่กำลังกระทบพื้นชัดเจน ก็มีสติ ตามดูตามรู้ไปเรื่อยๆ ถ้ามีเสียงใดๆ มากระทบหู (โสตปสาทหรือประสาทหู) ชัดเจน ก็กำหนดรู้ หรือถ้าเกิดความคิดนึกใดๆ ชัดเจน ก็กำหนดรู้ความคิดนึกนั้นๆ ถ้าเวทนาเกิด เช่นทุกข์หรือสุขทางกายหรือใจก็ตามเกิดขึ้น ก็กำหนดรู้ทุกข์หรือสุขนั้นๆ ไปเรื่อยๆ
(๓) นิมิต ปีติ นิวรณ์ วิปัสสนูปกิเลส
ขณะนั่งสมาธิอยู่ พยายามรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ อาจจะเกิดเห็นภาพต่างๆ ขึ้นมาทางตา เป็นภาพต้นไม้ป่าเขา สถานที่ สวรรค์ นรก ภูติผีปีศาจ เทวดา ฯลฯ ใดๆ ก็ตาม ก็เพียงกำหนดรู้ว่าเห็น แล้วก็กลับมาสติในกายและใจต่อไป โดยไม่ต้องสนใจภาพต่างๆ ที่เห็นนั้น ไม่ต้องนั่งคิดวิเคราะห์ต่อว่าเป็นภาพอะไร เป็นใคร อยู่ที่ไหน ไม่ต้องอยากรู้เรื่องต่อ ไม่ต้องตามไปดูว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ฯลฯ เพียงกำหนดรู้ว่ามีภาพ (สี หรือ รูปภายนอก) มากระทบกับ ตา (จักขุปสาท หรือ ประสาทตา ซึ่งเป็น รูปภายใน) เท่านั้น อันนี้คือ ‘นิมิต’ นิมิตนี้จะมาในรูปของภาพต่างๆ มาเกิดทางตาก็ได้ มาในรูปของเสียง กลิ่น รส ฯลฯ ก็ได้ หน้าที่ของผู้เจริญสติเจริญวิปัสสนาอยู่นั้น ก็เพียงมีสติกำหนดรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นมากระทบกับตา หรือ หู จมูก ลิ้น กาย เท่านั้น แล้วก็ไม่ต้องสนใจต่อนิมิตนั้นๆ ต่อ หันกลับมาเจริญสติรู้ตัวทั่วพร้อม ในอาการอื่นๆ ตรงกายก็ตามหรือใจก็ตามที่กำลังปรากฏชัด ต่อไป
(๑) ท่านั่ง - สำคัญตรงไม่นั่งพิงอะไร
การนั่งสมาธิแบบวิปัสสนา ต้องดูสัปปายะคือดูความเหมาะสมพอดีของตน จะนั่งเก้าอี้หรือนั่งขัดสมาธิกับพื้นโดยมีอาสนะบางๆ รอง หรือจะนั่งท่าหนึ่งท่าใดที่สบายแก่ตนก็ได้ (แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน)
ดังนั้น จะนั่งห้อยเท้าบนเก้าอี้ หรือว่าจะนั่งกับพื้นขัดสมาธิอยู่ หรือจะนั่งท่าใดๆ ก็ตาม ก็ไม่เป็นไร ที่สำคัญคือ พยายามไม่นั่งพิง คือ พยายามนั่งให้หลังไม่พิงกับอะไร เพราะว่าตรงนี้สำคัญ คือ การเจริญสติอยู่นั้น ถ้าเมื่อได้หลังค้อมก้มลงมาข้างหน้า หรือหลังหงายไปไม่ตั้งตรงอยู่ ก็แสดงว่าผู้ปฏิบัติได้เผลอสติไป ดังนั้น การไม่นั่งพิงอะไร จะทำให้ดำรงสติอยู่ได้เสมอ และเมื่อเผลอหลับก็ตาม ตกภวังค์ก็ตาม หรืออาการใดๆ เกิด ที่ทำให้หลังไม่ตั้งตรงทรงอยู่อย่างมั่นคง ก็จะได้รู้ตัว และมีสติ ตั้งหลังให้ตรงอยู่เสมอๆ
(๒) การกำหนดสติ
ในการนั่งสมาธิแบบวิปัสสนา จะเป็นการมีสติดูอาการใดๆ ก็ตาม ที่เกิดขึ้นของกายก็ตาม ใจก็ตาม (คือ ที่ตาก็ตาม หู จมูก ลิ้น กายหรือใจก็ตาม) ในขณะนั้นๆ ในวินาทีนั้นๆ กล่าวคือ อะไรเด่นชัด ชัดเจนที่สุด ก็ดูตรงนั้นไปเรื่อยๆ อาทิ ถ้ากายปรากฏชัดเจน ก็เอาสติไปดูกาย ไปเรื่อยๆ ถ้าอาการพองยุบที่ท้องชัดเจน ก็มีสติตามรู้อาการไปเรื่อยๆ ถ้าการกระทบ อาทิ กายส่วนใดที่กำลังกระทบพื้นชัดเจน ก็มีสติ ตามดูตามรู้ไปเรื่อยๆ ถ้ามีเสียงใดๆ มากระทบหู (โสตปสาทหรือประสาทหู) ชัดเจน ก็กำหนดรู้ หรือถ้าเกิดความคิดนึกใดๆ ชัดเจน ก็กำหนดรู้ความคิดนึกนั้นๆ ถ้าเวทนาเกิด เช่นทุกข์หรือสุขทางกายหรือใจก็ตามเกิดขึ้น ก็กำหนดรู้ทุกข์หรือสุขนั้นๆ ไปเรื่อยๆ
(๓) นิมิต ปีติ นิวรณ์ วิปัสสนูปกิเลส
ขณะนั่งสมาธิอยู่ พยายามรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ อาจจะเกิดเห็นภาพต่างๆ ขึ้นมาทางตา เป็นภาพต้นไม้ป่าเขา สถานที่ สวรรค์ นรก ภูติผีปีศาจ เทวดา ฯลฯ ใดๆ ก็ตาม ก็เพียงกำหนดรู้ว่าเห็น แล้วก็กลับมาสติในกายและใจต่อไป โดยไม่ต้องสนใจภาพต่างๆ ที่เห็นนั้น ไม่ต้องนั่งคิดวิเคราะห์ต่อว่าเป็นภาพอะไร เป็นใคร อยู่ที่ไหน ไม่ต้องอยากรู้เรื่องต่อ ไม่ต้องตามไปดูว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ฯลฯ เพียงกำหนดรู้ว่ามีภาพ (สี หรือ รูปภายนอก) มากระทบกับ ตา (จักขุปสาท หรือ ประสาทตา ซึ่งเป็น รูปภายใน) เท่านั้น อันนี้คือ ‘นิมิต’ นิมิตนี้จะมาในรูปของภาพต่างๆ มาเกิดทางตาก็ได้ มาในรูปของเสียง กลิ่น รส ฯลฯ ก็ได้ หน้าที่ของผู้เจริญสติเจริญวิปัสสนาอยู่นั้น ก็เพียงมีสติกำหนดรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นมากระทบกับตา หรือ หู จมูก ลิ้น กาย เท่านั้น แล้วก็ไม่ต้องสนใจต่อนิมิตนั้นๆ ต่อ หันกลับมาเจริญสติรู้ตัวทั่วพร้อม ในอาการอื่นๆ ตรงกายก็ตามหรือใจก็ตามที่กำลังปรากฏชัด ต่อไป
วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552
สำหรับแม่...น้อยกว่านี้ได้ยังไง
การที่เราเป็น "ฅน" มาไำด้ทุกวันนี้ เริ่มต้นจากแม่...แม่ คือผู้ให้...ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งชีวิต สติปัญญา ความรัก กำลังใจ การศึกษา การดำรงชีวิตในการเป็นแบบอย่างที่ดี.....ลูกขอนำแบบอย่างของแม่มาปฏิบัติ เพื่อเป็นตัวอย่างของลูก และศิษย์ต่อไป....
โรงเรียน (อาเวมารีอา) ผมถือว่าเป็นแม่แห่งการเรียนรู้ของผมเอง เพราะผมเริ่ม (การศึกษา) เรียนบริบาลที่นี่ ผมรู้สึกดีใจมาก...และสัญญาว่าจะนำความรู้ความสามารถที่มีอยู่ช่วยพัฒนาบ้า่นของเราให้ดีที่สุดครับ.....
โรงเรียน (อาเวมารีอา) ผมถือว่าเป็นแม่แห่งการเรียนรู้ของผมเอง เพราะผมเริ่ม (การศึกษา) เรียนบริบาลที่นี่ ผมรู้สึกดีใจมาก...และสัญญาว่าจะนำความรู้ความสามารถที่มีอยู่ช่วยพัฒนาบ้า่นของเราให้ดีที่สุดครับ.....
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552
รายชื่อนักเตะ ล่าสุดLiverpool FC
รายชื่อนักเตะ ล่าสุด Liverpool FC
รายชื่อนักเตะลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2009-10 ทั้งชุดใหญ่ และ ชุดเล็ก
« เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2008, 12:11:33 AM »
--------------------------------------------------------------------------------
เรียงตามหมายเลขเสื้อนะครับ สามารถกดดูประวัติได้เลยผ่านหน้านี้ เพื่อความสะดวก
(พบ link ไหนเสีย หรือ link ไหนไปผิด ช่วยส่งข้อความส่วนตัวมาบอกกันด้วยนะครับ)
---------------------------------------------------------------------------------------------
= ข้อมูลที่มีการอัพเดทก่อนเปิดฤดูกาลใหม่แล้ว
ทีมชุดใหญ่ และ ทีมสำรอง
1. Diego Cavalieri - ดิเอโก้ คาวาเรียลี่ / G
2. Glen Johnson - เกล็น จอห์นสัน / D
4. Alberto Aquilani - อัลแบร์โต้ อควิลานี่ / M
5. Daniel Agger - ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์ / D
8. Steven Gerrard - สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด / M
9. Fernando Torres - เฟร์นานโด ตอร์เรส / F
10. Andriy Voronin - อังเดร โวโรนิน / F
11. Albert Riera - อัลเบิร์ต ริเอร่า / M
12. Fabio Aurelio - ฟาบิโอ ออเรลิโอ / D/M
15. Yossi Benayoun - ยอสซี่ เบนายูน / M
16. Sotirios Kyrgiakos - โซทิริออส คีร์เกียกอส / D
18. Dirk Kuyt - เดิร์ก เค้าท์ / M/F
19. Ryan Babel - ไรอัน บาเบิ้ล / M/F
20. Javier Mascherano - ฮาเวียร์ มาสเชราโน่ / M
21. Lucas Leiva - ลูคัส เลว่า / M
22. Emiliano Insua - เอมิเลียโน่ อินชัว / D
23. Jamie Carragher - เจมี่ คาร์ราเกอร์ / D
24. David N'gog - ดาวิด เอ็นก็อก / F
25. Pepe Reina - เปเป้ เรน่า / G
26. Jay Spearing - เจย์ สเพียริ่ง / D/M
27. Philipp Degen - ฟิลิปป์ เดเก้น / D
28. Damien Plessis - ดาเมี่ยง เปลสซิส / M
29. Krisztian Nemeth - คริสเตียน เนเม็ธ / F
30. Charles Itandje - ชาร์ลส์ อิต็องด์เช่ / G
31. Nabil El Zhar - นาบิล เอล ซาร์ / M
32. Stephen Darby - สตีเฟ่น ดาร์บี้ / D
34. Martin Kelly - มาร์ติน เคลลี่ / D
36. Steven Irwin - สตีเฟ่น เออร์วิน / D
37. Martin Skrtel - มาร์ติน สเคอร์เทลล์ / D
38. Andrea Dossena - อันเตรีย ดอสเซน่า / D/M
39. Nathan Eccleston - นาธาน เอคเคิลสตัน / F
40. Daniel Sanchez Ayala - ดาเนี่ยล ซานเชซ อยาล่า / D
41. Martin Hansen - มาร์ติน แฮนเซ่น / G
42. Peter Gulacsi - ปีเตอร์ กูลาซชี่ / G
43. Dean Bouzanis - ดีน บูซานิส / G
45. Mikel San Jose - มิเกล ซาน โฆเซ่ / D - - ปล่อยให้ แอธเลติก บิลเบา ยืมตัวถึง มิถุนายน 2010
Ray Putterill - เรย์ พัตเตอร์ริลล์ / M
Ryan Flynn - ไรอัน ฟลินน์ / M - - - ปล่อยให้ ฟัลเคิร์ก ยืมตัวถึง มิถุนายน 2010
David Martin - เดวิด มาร์ติน / G
Daniel Pacheco - ดาเนี่ยล ปาเชโก้ / F
Chris Mavinga - คริส มาแว็งก้า / D
Jordy Brouwer - ยอร์ดี้ บรูเวอร์ / F
Vincent Weijl - วินเซนท์ เวจล์ / M
Emmanuel Mendy - เอ็มมานูเอล เมนดี้/ D
Nikola Saric - นิโกล่า ซาริช / F
Gerardo Bruna - เกราร์โด้ บรูน่า / M
Ryan Crowther - ไรอัน คราวเธอร์ / M
Andras Simon - อันดราส ซิม่อน / F
Francisco Duran - ฟรานซิสโก้ ดูรัน / M
Vitor Flora - วิเตอร์ ฟลอร่า/ F
Zsolt Poloskei - โซลต์ โพโลสกี้ / M
Victor Palsson - วิคเตอร์ พัลส์สัน / M
Chris Oldfield - คริส โอลด์ฟิลด์ / G
David Amoo - เดวิด อามู / M
Christopher Buchtmann - คริสโตเฟอร์ บุชท์มันน์ / D/M
Lauri Dalla Valle - ลอรี่ ดัลล่า วัลเล่ / F
Alex Kacaniklic - อเล็กซ์ คาคานิคลิช / M
Robbie Threlfall - ร็อบบี้ เธรลฟอลล์ / D - - ปล่อยให้ นอร์ธแธมป์ตัน ยืมตัวถึง กันยายน 2009
---------------------------------------------------------------------------------------------
ทีมเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี / อะคาเดมี่
Karl Clair - คาร์ล แคลร์ / ปีแรก
Conor David Coady - คอเนอร์ เดวิด โคดี้ / ปีแรก
Adam Ryan Dawson - อดัม ไรอัน ดอว์สัน / ปีแรก
John Flanagan - จอห์น ฟลานาแกน / ปีแรก
Marcus Giglio - มาร์คัส กิจลิโอ / ปีแรก
Michael Ihiekwe - ไมเคิ่ล อิเฮียกเว่ / ปีแรก
Matthew Lawrence McGiveron - แม็ทธิว ลอว์เรนซ์ แม็คกิฟเวร่อน / ปีแรก
Craig Roddan - เคร้ก ร้อดดาน / ปีแรก
Alex Whittle - อเล็กซ์ วิทเติ้ล / ปีแรก
Andre Wisdom - อันเดร วิสดอม / ปีแรก
Aaron King - อารอน คิง / ปีแรก
Robert Maloney - โรเบิร์ต มาโลนี่ย์ / ปีแรก
Stephen Sama - สตีเฟ่น ซามา / ปีแรก
Thomas Ince - โธมัส อินซ์ / ปีสอง
Alex Cooper - อเล็กซ์ คูเปอร์ / ปีสอง
Deale Chamberlain - ดีล แชมเบอร์เลน / ปีสอง
Hakan Duyan - ฮาคาน ดูยาน / ปีสอง
James Ellison - เจมส์ เอลลิสัน / ปีสอง
Adam Pepper - อดัม เปปเปอร์ / ปีสอง
Michael Roberts - ไมเคิ่ล โรเบิร์ตส์ / ปีสอง
Sean Highdale - ณอน ไฮช์เดล / ปีสาม
---------------------------------------------------------------------------------------------
ย้ายทีมไปแล้วแบบถาวรหลังเปิดฤดูกาล
Steve Finnan - สตีฟ ฟินแนน / D - - - ย้ายไปอยู่กับ เอสปันญ่อล เมื่อ กันยายน 2008 ด้วยค่าตัว ไม่เปิดเผย
Robbie Keane - ร็อบบี้ คีน / F - - - ย้ายไปอยู่กับ สเปอร์ส เมื่อ มกราคม 2009 ด้วยค่าตัว 14.8 ล้านปอนด์
Sami Hyypia - ซามี่ ฮูเปีย / D - - - ย้ายไปอยู่กับ เลเวอร์คูเซ่น เมื่อ กรกฏาคม 2009 แบบไม่มีค่าตัว
Astrit Ajdarevic - แอสทริช อัจดาเรวิช / M - - - ย้ายไปอยู่กับ เลสเตอร์ เมื่อ มีนาคม 2009 แบบไม่มีค่าตัว
Jack Hobbs - แจ็ค ฮ็อบบ์ส / D - - - ย้ายไปอยู่กับ เลสเตอร์ เมื่อ กรกฏาคม 2008 แบบไม่มีค่าตัว
Joe Kennedy - โจ เคนเนดี้ / D - - - ถูกปล่อยตัว -
Jack Metcalf - แจ็ค เม็ทคาล์ฟ / D - - - ถูกปล่อยตัว -
Pajtim Kasami - พัจทิม คาซามี่ / M- - - ถูกปล่อยตัว -
Michael Scott - ไมเคิ่ล สกอตต์ / F - - - ถูกปล่อยตัว -
Ronald Huth - โรนัลด์ ฮุธ / D - - - ถูกปล่อยตัว -
Gary Mackay-Steven - แกรี่ แม็คเคย์-สตีเว่น / M - - - ถูกปล่อยตัว -
Marvin Pourie - มาร์วิน พูรี่ / F - - - ย้ายไปอยู่กับ ชาลเก้ 04 เมื่อ ธันวาคม 2008 ด้วยค่าตัว 200,000 ปอนด์
Shane O'Connor - เชน โอคอนเนอร์ / D - - - ย้ายไปอยู่กับ อิปสวิช ทาวน์ เมื่อ กรกฏาคม 2009 แบบไม่มีค่าตัว
Godwin Antwi - ก็อดวิน แอนท์วี่ / D/M - - - ย้ายไปอยู่กับ เฮเรฟอร์ด เมื่อ มกราคม 2009 แบบไม่มีค่าตัว
Paul Anderson - พอล แอนเดอร์สัน / M - - - ย้ายไปอยู่กับ นอตติงแฮม ฟอเรสต์ เมื่อ กรกฏาคม 2009 ด้วยค่าตัว 300,000 ปอนด์
Sebastien Leto - เซบาสเตียน เลโต้ / M - - - ย้ายไปอยู่กับ พานาธิไนกอส เมื่อ กรกฏาคม 2009 ด่วยค่าตัว 3.5 ล้านปอนด์
Miki Roque - มิกิ โรเก้ / D - - - ย้ายไปอยู่กับ เรอัล เบติส เมื่อ กรกฏาคม 2009 แบบไม่มีค่าตัว
Jermaine Pennant - เจอร์แมน เพนแน้นท์ / M - - - ย้ายไปอยู่กับ เรอัล ซาราโกซ่า เมื่อ กรกฏาคม 2009 แบบไม่มีค่าตัว
Alvaro Arbeloa - อัลวาโร่ อาร์เบลัว / D - - - ย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด เมื่อ กรกฏาคม 2009 ด้วยค่าตัว 3.5 ล้านปอนด์
Xabi Alonso - ซาบี อลอนโซ่ / M - - - ย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด เมื่อ สิงหาคม 2009 ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์
Craig Lindfield - เคร้ก ลินด์ฟิลด์ / F - - - ถูกปล่อยตัว -
Adam Hammill - อดัม แฮมมิลล์ / M - - - ย้ายไปอยู่กับ บาร์นสลี่ย์ เมื่อ สิงหาคม 2009 ด้วยค่าตัว ไม่เปิดเผย
รายชื่อนักเตะลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2009-10 ทั้งชุดใหญ่ และ ชุดเล็ก
« เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2008, 12:11:33 AM »
--------------------------------------------------------------------------------
เรียงตามหมายเลขเสื้อนะครับ สามารถกดดูประวัติได้เลยผ่านหน้านี้ เพื่อความสะดวก
(พบ link ไหนเสีย หรือ link ไหนไปผิด ช่วยส่งข้อความส่วนตัวมาบอกกันด้วยนะครับ)
---------------------------------------------------------------------------------------------
= ข้อมูลที่มีการอัพเดทก่อนเปิดฤดูกาลใหม่แล้ว
ทีมชุดใหญ่ และ ทีมสำรอง
1. Diego Cavalieri - ดิเอโก้ คาวาเรียลี่ / G
2. Glen Johnson - เกล็น จอห์นสัน / D
4. Alberto Aquilani - อัลแบร์โต้ อควิลานี่ / M
5. Daniel Agger - ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์ / D
8. Steven Gerrard - สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด / M
9. Fernando Torres - เฟร์นานโด ตอร์เรส / F
10. Andriy Voronin - อังเดร โวโรนิน / F
11. Albert Riera - อัลเบิร์ต ริเอร่า / M
12. Fabio Aurelio - ฟาบิโอ ออเรลิโอ / D/M
15. Yossi Benayoun - ยอสซี่ เบนายูน / M
16. Sotirios Kyrgiakos - โซทิริออส คีร์เกียกอส / D
18. Dirk Kuyt - เดิร์ก เค้าท์ / M/F
19. Ryan Babel - ไรอัน บาเบิ้ล / M/F
20. Javier Mascherano - ฮาเวียร์ มาสเชราโน่ / M
21. Lucas Leiva - ลูคัส เลว่า / M
22. Emiliano Insua - เอมิเลียโน่ อินชัว / D
23. Jamie Carragher - เจมี่ คาร์ราเกอร์ / D
24. David N'gog - ดาวิด เอ็นก็อก / F
25. Pepe Reina - เปเป้ เรน่า / G
26. Jay Spearing - เจย์ สเพียริ่ง / D/M
27. Philipp Degen - ฟิลิปป์ เดเก้น / D
28. Damien Plessis - ดาเมี่ยง เปลสซิส / M
29. Krisztian Nemeth - คริสเตียน เนเม็ธ / F
30. Charles Itandje - ชาร์ลส์ อิต็องด์เช่ / G
31. Nabil El Zhar - นาบิล เอล ซาร์ / M
32. Stephen Darby - สตีเฟ่น ดาร์บี้ / D
34. Martin Kelly - มาร์ติน เคลลี่ / D
36. Steven Irwin - สตีเฟ่น เออร์วิน / D
37. Martin Skrtel - มาร์ติน สเคอร์เทลล์ / D
38. Andrea Dossena - อันเตรีย ดอสเซน่า / D/M
39. Nathan Eccleston - นาธาน เอคเคิลสตัน / F
40. Daniel Sanchez Ayala - ดาเนี่ยล ซานเชซ อยาล่า / D
41. Martin Hansen - มาร์ติน แฮนเซ่น / G
42. Peter Gulacsi - ปีเตอร์ กูลาซชี่ / G
43. Dean Bouzanis - ดีน บูซานิส / G
45. Mikel San Jose - มิเกล ซาน โฆเซ่ / D - - ปล่อยให้ แอธเลติก บิลเบา ยืมตัวถึง มิถุนายน 2010
Ray Putterill - เรย์ พัตเตอร์ริลล์ / M
Ryan Flynn - ไรอัน ฟลินน์ / M - - - ปล่อยให้ ฟัลเคิร์ก ยืมตัวถึง มิถุนายน 2010
David Martin - เดวิด มาร์ติน / G
Daniel Pacheco - ดาเนี่ยล ปาเชโก้ / F
Chris Mavinga - คริส มาแว็งก้า / D
Jordy Brouwer - ยอร์ดี้ บรูเวอร์ / F
Vincent Weijl - วินเซนท์ เวจล์ / M
Emmanuel Mendy - เอ็มมานูเอล เมนดี้/ D
Nikola Saric - นิโกล่า ซาริช / F
Gerardo Bruna - เกราร์โด้ บรูน่า / M
Ryan Crowther - ไรอัน คราวเธอร์ / M
Andras Simon - อันดราส ซิม่อน / F
Francisco Duran - ฟรานซิสโก้ ดูรัน / M
Vitor Flora - วิเตอร์ ฟลอร่า/ F
Zsolt Poloskei - โซลต์ โพโลสกี้ / M
Victor Palsson - วิคเตอร์ พัลส์สัน / M
Chris Oldfield - คริส โอลด์ฟิลด์ / G
David Amoo - เดวิด อามู / M
Christopher Buchtmann - คริสโตเฟอร์ บุชท์มันน์ / D/M
Lauri Dalla Valle - ลอรี่ ดัลล่า วัลเล่ / F
Alex Kacaniklic - อเล็กซ์ คาคานิคลิช / M
Robbie Threlfall - ร็อบบี้ เธรลฟอลล์ / D - - ปล่อยให้ นอร์ธแธมป์ตัน ยืมตัวถึง กันยายน 2009
---------------------------------------------------------------------------------------------
ทีมเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี / อะคาเดมี่
Karl Clair - คาร์ล แคลร์ / ปีแรก
Conor David Coady - คอเนอร์ เดวิด โคดี้ / ปีแรก
Adam Ryan Dawson - อดัม ไรอัน ดอว์สัน / ปีแรก
John Flanagan - จอห์น ฟลานาแกน / ปีแรก
Marcus Giglio - มาร์คัส กิจลิโอ / ปีแรก
Michael Ihiekwe - ไมเคิ่ล อิเฮียกเว่ / ปีแรก
Matthew Lawrence McGiveron - แม็ทธิว ลอว์เรนซ์ แม็คกิฟเวร่อน / ปีแรก
Craig Roddan - เคร้ก ร้อดดาน / ปีแรก
Alex Whittle - อเล็กซ์ วิทเติ้ล / ปีแรก
Andre Wisdom - อันเดร วิสดอม / ปีแรก
Aaron King - อารอน คิง / ปีแรก
Robert Maloney - โรเบิร์ต มาโลนี่ย์ / ปีแรก
Stephen Sama - สตีเฟ่น ซามา / ปีแรก
Thomas Ince - โธมัส อินซ์ / ปีสอง
Alex Cooper - อเล็กซ์ คูเปอร์ / ปีสอง
Deale Chamberlain - ดีล แชมเบอร์เลน / ปีสอง
Hakan Duyan - ฮาคาน ดูยาน / ปีสอง
James Ellison - เจมส์ เอลลิสัน / ปีสอง
Adam Pepper - อดัม เปปเปอร์ / ปีสอง
Michael Roberts - ไมเคิ่ล โรเบิร์ตส์ / ปีสอง
Sean Highdale - ณอน ไฮช์เดล / ปีสาม
---------------------------------------------------------------------------------------------
ย้ายทีมไปแล้วแบบถาวรหลังเปิดฤดูกาล
Steve Finnan - สตีฟ ฟินแนน / D - - - ย้ายไปอยู่กับ เอสปันญ่อล เมื่อ กันยายน 2008 ด้วยค่าตัว ไม่เปิดเผย
Robbie Keane - ร็อบบี้ คีน / F - - - ย้ายไปอยู่กับ สเปอร์ส เมื่อ มกราคม 2009 ด้วยค่าตัว 14.8 ล้านปอนด์
Sami Hyypia - ซามี่ ฮูเปีย / D - - - ย้ายไปอยู่กับ เลเวอร์คูเซ่น เมื่อ กรกฏาคม 2009 แบบไม่มีค่าตัว
Astrit Ajdarevic - แอสทริช อัจดาเรวิช / M - - - ย้ายไปอยู่กับ เลสเตอร์ เมื่อ มีนาคม 2009 แบบไม่มีค่าตัว
Jack Hobbs - แจ็ค ฮ็อบบ์ส / D - - - ย้ายไปอยู่กับ เลสเตอร์ เมื่อ กรกฏาคม 2008 แบบไม่มีค่าตัว
Joe Kennedy - โจ เคนเนดี้ / D - - - ถูกปล่อยตัว -
Jack Metcalf - แจ็ค เม็ทคาล์ฟ / D - - - ถูกปล่อยตัว -
Pajtim Kasami - พัจทิม คาซามี่ / M- - - ถูกปล่อยตัว -
Michael Scott - ไมเคิ่ล สกอตต์ / F - - - ถูกปล่อยตัว -
Ronald Huth - โรนัลด์ ฮุธ / D - - - ถูกปล่อยตัว -
Gary Mackay-Steven - แกรี่ แม็คเคย์-สตีเว่น / M - - - ถูกปล่อยตัว -
Marvin Pourie - มาร์วิน พูรี่ / F - - - ย้ายไปอยู่กับ ชาลเก้ 04 เมื่อ ธันวาคม 2008 ด้วยค่าตัว 200,000 ปอนด์
Shane O'Connor - เชน โอคอนเนอร์ / D - - - ย้ายไปอยู่กับ อิปสวิช ทาวน์ เมื่อ กรกฏาคม 2009 แบบไม่มีค่าตัว
Godwin Antwi - ก็อดวิน แอนท์วี่ / D/M - - - ย้ายไปอยู่กับ เฮเรฟอร์ด เมื่อ มกราคม 2009 แบบไม่มีค่าตัว
Paul Anderson - พอล แอนเดอร์สัน / M - - - ย้ายไปอยู่กับ นอตติงแฮม ฟอเรสต์ เมื่อ กรกฏาคม 2009 ด้วยค่าตัว 300,000 ปอนด์
Sebastien Leto - เซบาสเตียน เลโต้ / M - - - ย้ายไปอยู่กับ พานาธิไนกอส เมื่อ กรกฏาคม 2009 ด่วยค่าตัว 3.5 ล้านปอนด์
Miki Roque - มิกิ โรเก้ / D - - - ย้ายไปอยู่กับ เรอัล เบติส เมื่อ กรกฏาคม 2009 แบบไม่มีค่าตัว
Jermaine Pennant - เจอร์แมน เพนแน้นท์ / M - - - ย้ายไปอยู่กับ เรอัล ซาราโกซ่า เมื่อ กรกฏาคม 2009 แบบไม่มีค่าตัว
Alvaro Arbeloa - อัลวาโร่ อาร์เบลัว / D - - - ย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด เมื่อ กรกฏาคม 2009 ด้วยค่าตัว 3.5 ล้านปอนด์
Xabi Alonso - ซาบี อลอนโซ่ / M - - - ย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด เมื่อ สิงหาคม 2009 ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์
Craig Lindfield - เคร้ก ลินด์ฟิลด์ / F - - - ถูกปล่อยตัว -
Adam Hammill - อดัม แฮมมิลล์ / M - - - ย้ายไปอยู่กับ บาร์นสลี่ย์ เมื่อ สิงหาคม 2009 ด้วยค่าตัว ไม่เปิดเผย
หงส์สู้ผีขายบาเบิ้ลหาทุนซื้อร็อบเบน
หงส์สู้ผีขายบาเบิ้ลหาทุนซื้อร็อบเบน
อย่างไรก็ตามเอลบอสรู้ดีด้วยงบประมาณมีขีดจำกัดดังนั้นจึงต้องขายก่อนซื้อ ร็อบเบน นักเตะ ที่อยู่ในข่ายขายได้ราคาก็คือ บาเบิ้ล น่าจะทำเงินสัก 8 ล้านปอนด์ โดย อาร์เซนอล กับ กาลาตาซาราย ให้ความสนใจ
ราฟาเอล เบนิเตซ เอลบอสสมองกลทีมลิเวอร์พูล พร้อมทำสงครามกับท่านเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือแมนฯยูไนเต็ด แย่ง อาร์เยน ร็อบเบน ปีกสำออยแห่งเรอัล มาดริด โดยเตรียมปล่อย ไรอัน บาเบิ้ล นำมาเป็นทุนจัดซื้อ
"กิฟมีฟุตบอล" สำนักข่าวชื่อดังเกาะอังกฤษอ้างจากแหล่งข่าวในว่าท่านราฟาอยู่ในภาวะได้เปรียบหวังอาศัยสัมพันธ์ที่ดีกับ "ราชันชุดขาว" จากการยินยอมปล่อย ชาบี้ อลอนโซ ่ กับ อัลบาโร่ อาร์เบลัว ต่อสายเจรจาคว้าอดีตดาวดังเชลซี อย่างไรก็ตามเอลบอสรู้ดีด้วยงบประมาณมีขีดจำกัดดังนั้นจึงต้องขายก่อนซื้อ ร็อบเบน นักเตะ ที่อยู่ในข่ายขายได้ราคาก็คือ บาเบิ้ล น่าจะทำเงินสัก 8 ล้านปอนด์ โดย อาร์เซนอล กับ กาลาตาซาราย ให้ความสนใจ
ราฟา ลั่น หงส์ ยังไม่หมดลุ้นแชมป์
ราฟา ลั่น หงส์ ยังไม่หมดลุ้นแชมป์
Steven Gerrard
ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เชื่อมั่นว่า ทีมของตนยังมีดีที่จะก้าวไปคว้าแชมป์
พรีเมียร์ชิป อังกฤษ ฤดูกาลนี้ ได้ แม้ว่าจะพาทีมออกสตาร์ทได้อย่างย่ำแย่ด้วยการแพ้ไปถึง 2 นัดจากการลงเล่น 3 เกมแรก
ลิเวอร์พูล ที่กำลังไล่ล่าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ออกสตาร์ทฤดูกาล 2009/2010 ด้วยการพ่ายแพ้ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ จากนั้นแม้จะชนะ สโต๊ก ซิตี ได้แบบขาดลอย ทว่ามาพลาดท่าต่อ แอสตัน
วิลลา ในเกมล่าสุด
ส่งผลให้ทีมหงส์แดงแพ้เป็นเกมที่ 2 ของฤดูกาลนี้ ซึ่งเท่ากับจำนวนนัดที่แพ้ในลีกในฤดูกาลที่ผ่านมา จนมีกระแสวิจารณ์จากสื่อเมืองผู้ดี ว่า ลิเวอร์พูล ดีพอที่จะยังได้ลุ้นแชมป์ต่อหรือไม่ ซึ่ง ราฟาเอล เบนิเตซ ยังคงมั่นใจว่าทีมของตนยังไม่หมดลุ้นแต่อย่างใด
"ตัวผู้เล่น ของเรายังคงเป็นชุดเดิมจากเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งผมยังคงเชื่อมั่นว่าเรามีดีพอที่จะยืนระยะในการลุ้นแชมป์ได้ต่อไป แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ เราต้องทุ่มเทให้มากกว่านี้ โดยเริ่มจากเกมต่อไปที่จะออกไปเยือนโบลตัน" กุนซือสแปนิชมั่นใจ
ลิเวอร์พูล มีโปรแกรม ที่ไม่หนักมาก ใน 4 เกมต่อไป ด้วยการพบกับ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส, เบิร์นลีย์, เวสต์แฮม และ ฮัลล์ ซิตี ก่อนจะต้องเผชิญหน้ากับทีมบิ๊กโฟร์อย่างเชลซี ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในช่วงต้นเดือนตุลาคม
Steven Gerrard
ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เชื่อมั่นว่า ทีมของตนยังมีดีที่จะก้าวไปคว้าแชมป์
พรีเมียร์ชิป อังกฤษ ฤดูกาลนี้ ได้ แม้ว่าจะพาทีมออกสตาร์ทได้อย่างย่ำแย่ด้วยการแพ้ไปถึง 2 นัดจากการลงเล่น 3 เกมแรก
ลิเวอร์พูล ที่กำลังไล่ล่าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ออกสตาร์ทฤดูกาล 2009/2010 ด้วยการพ่ายแพ้ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ จากนั้นแม้จะชนะ สโต๊ก ซิตี ได้แบบขาดลอย ทว่ามาพลาดท่าต่อ แอสตัน
วิลลา ในเกมล่าสุด
ส่งผลให้ทีมหงส์แดงแพ้เป็นเกมที่ 2 ของฤดูกาลนี้ ซึ่งเท่ากับจำนวนนัดที่แพ้ในลีกในฤดูกาลที่ผ่านมา จนมีกระแสวิจารณ์จากสื่อเมืองผู้ดี ว่า ลิเวอร์พูล ดีพอที่จะยังได้ลุ้นแชมป์ต่อหรือไม่ ซึ่ง ราฟาเอล เบนิเตซ ยังคงมั่นใจว่าทีมของตนยังไม่หมดลุ้นแต่อย่างใด
"ตัวผู้เล่น ของเรายังคงเป็นชุดเดิมจากเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งผมยังคงเชื่อมั่นว่าเรามีดีพอที่จะยืนระยะในการลุ้นแชมป์ได้ต่อไป แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ เราต้องทุ่มเทให้มากกว่านี้ โดยเริ่มจากเกมต่อไปที่จะออกไปเยือนโบลตัน" กุนซือสแปนิชมั่นใจ
ลิเวอร์พูล มีโปรแกรม ที่ไม่หนักมาก ใน 4 เกมต่อไป ด้วยการพบกับ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส, เบิร์นลีย์, เวสต์แฮม และ ฮัลล์ ซิตี ก่อนจะต้องเผชิญหน้ากับทีมบิ๊กโฟร์อย่างเชลซี ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในช่วงต้นเดือนตุลาคม
คอยล์ สุดคึกเตือน เชลซี-หงส์ คือ เหยื่อรายต่อไป
คอยล์ สุดคึกเตือน เชลซี-หงส์ คือ เหยื่อรายต่อไป
โอเวน คอยล์ กุนซือเบิร์นลีย์ น้องใหม่ฟอร์มแรงแห่งศึกพรีเมียร์ชิป อังกฤษ ประกาศไม่หวั่นเกรงศักดิ์ศรีของเชลซี และ ลิเวอร์พูล ในการเจอกันใน 2 เกมต่อไป หลังได้ความมั่นใจจากการนำทีมเก็บชัยชนะเหนือทีมใหญ่มา 2 นัดติดต่อกัน
"คลาเร็ทส์" ที่พ่ายต่อ สโต๊ก ซิตี ในนัดเปิดฤดูกาล สร้างความฮือฮาใน 2 เกมถัดมา เมื่อเปิดบ้านเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เอฟเวอร์ตัน ได้อย่างพลิกความคาดหมาย ส่งผลให้คอยล์ มั่นใจว่า ทีมของตนไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรงทีมไหนอีกแล้ว
โดยกุนซือผู้พาทีมแห่งถิ่น เทิร์ฟ มูร์ หวนคืนลีกสูงสุดครั้งแรกรอบ 33 ปี เผยหลังเกมที่เอาชนะทีมทอฟฟี ว่า "ในสัปดาห์ต่อจากนี้ เรามีเกมกับเชลซี และ ลิเวอร์พูล รออยู่ ซึ่งผมมั่นใจว่าเราไม่จำเป็นต้องกลัวใครหน้าไหนอีกแล้ว
"เรายอมรับในคุณภาพของทีมคู่แข่ง แต่หากเราสามารถเล่นได้ตามแบบฉบับของเราอย่างที่ทำได้ใน 3 นัดแรก ผมเชื่อว่าคนที่เคยพูดว่าเราจะแพ้รวดหลังผ่าน 5 นัดแรกจะต้องพูดไม่ออกแน่นอน" คอยล์ ร่ายยา
The Koppp +*+
ฮ่า ๆ มิตรภาพไร้พรมแดนกับแฟนลิเวอร์พูล
Update ทุกเครือข่าว (หิหิ เท่าที่จะอัพเดททันนะคับ)
วัน Update *** ล่าสุด
25 สิงหาคม 2552
นัด ล่าสุด
Liverpool 1 - 3 Aston Villa
Mon 24 Aug 09 : Premierleague
Time : 02.00 Lives : Truesport 1
Venue : Anfield, Liverpool
คอยล์ สุดคึกเตือน เชลซี-หงส์ คือ เหยื่อรายต่อไป
http://www.blogger.com/posts.g?blogID=503475900569158158
ราฟา ลั่น หงส์ ยังไม่หมดลุ้นแชมป์
http://www.blogger.com/posts.g?blogID=503475900569158158&numPosts=25&label=&searchType=ALL&txtKeywords=
หงส์สู้ผีขายบาเบิ้ลหาทุนซื้อร็อบเบน
http://www.blogger.com/posts.g?blogID=503475900569158158
รายชื่อนักเตะ Liverpool
http://www.blogger.com/posts.g?blogID=503475900569158158
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ความรัก 4 ประการ *-* ของวัยรุ่น -*-
"ความรัก" เป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์อย่างหนึ่งของมนุษย์ที่แสดงต่อบุคคล หรือสิ่งของ ความรักของวัยรุ่นนั้นเป็นสิ่งที่แปลกและน่าตื่นเต้น เช่น ความรักเพศตรงข้ามเป็นความรักที่เกิดจากฮอร์โมนเพศ
1 .
1 .
แนะนำตัวก่อนเด้อ ! ! !
กระผม ชื่อ นาย ณัฐพล กกรัมย์ นะ
ชื่อ เล่น นัท HI5: http://www.voice-nut.hi5.com/
mailน้า : nut_baarza@hotmail.com
ชั้น ร๊ากก เ ทอออ เอ๊ยยย ชั้น ม. 4 / 2 เลขที่ ออก 1
อายุ 16 เเล้วเน้อ
สถานะ : มีเมียแล้ววว
กำลังศึกษาอยุ โรงเรียน อาเวมารีอา นะ คับ
ครูผู้ให้วิชาความรู้แก่เรา คุณครู วิระชน ไพสาทย์
ความรู้สึกที่ได้เรียนวิชานี้ =รู้สึกมีความรู้เรื่อง คอม พิวเตอร์ มาก ขึ้น อิอิอิอิอิอิอออิออิอิติดต่อสอบถามได้น้า : 087-xxxxx0x
ชื่อ เล่น นัท HI5: http://www.voice-nut.hi5.com/
mailน้า : nut_baarza@hotmail.com
ชั้น ร๊ากก เ ทอออ เอ๊ยยย ชั้น ม. 4 / 2 เลขที่ ออก 1
อายุ 16 เเล้วเน้อ
สถานะ : มีเมียแล้ววว
กำลังศึกษาอยุ โรงเรียน อาเวมารีอา นะ คับ
ครูผู้ให้วิชาความรู้แก่เรา คุณครู วิระชน ไพสาทย์
ความรู้สึกที่ได้เรียนวิชานี้ =รู้สึกมีความรู้เรื่อง คอม พิวเตอร์ มาก ขึ้น อิอิอิอิอิอิอออิออิอิติดต่อสอบถามได้น้า : 087-xxxxx0x
การทำงานของคอมพิวเตอร์
1. หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์ เป็นการทำงานเกี่ยวกับอะไร
ตอบ. 1.หน่วยประมวลผลในรูปแบบข้อมูล คือทำการประมวลผลทางคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานอันได้แก่การบวกและลบ และการทำการเปรียบเทียบข้อมูลสองข้อมูลว่ามีค่าเท่ากันหรือไม่ถ้าไม่จะมีค่ามากกว่าหรือน้อยกว่า
2.. หน่วยความจำ หรือ Memory ใช้สำหรับเก็บข้อมูล และ คำสั่ง
3. อุปกรณ์อินพุตและเอาต์พุต เป็นส่วนที่ใช้นำข้อมูลจากโลกภายนอกเข้ามาภายในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อนำมาประมวลผล
4.หน่วยควบคุมการทำงาน หรือ Control Unit เป็นส่วนที่ใช้เชื่อมต่อแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน หน้าที่หลักๆคือทำการอ่านข้อมูลคำสั่งที่อยู่ภายในหน่วยความจำ หน้าที่หลักอีกประการ คือควบคุมลำดับการทำงานของแต่ละขั้นตอนให้อยู่ในเวลาที่เหมาะสม
2. อุปกรณ์ (output ) ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ออกมาอย่างไรบ้าง
ตอบ. การแสดงผลทางจอภาพ เรียกได้อีกอย่างว่าเป็น Soft Copy คือ จะแสดงผลลัพธ์ขณะที่มีกระแสไฟฟ้าอยู่ อุปกรณ์คือ จอภาพคอมพิวเตอร์ทั่วไป และ การแสดงผลทางจอภาพ หรือเรียกได้อีกอย่างว่าเป็น Hard Copy คือ สามารถแสดงผลลัพธ์คงทนอยู่นาน อุปกรณ์ที่ใช้ คือ Printer
3. Hard disk - คือ
ตอบ. คลังเก็บข้อมูลของระบบ ซึ่งเปรียบเสมือนกับสมองของมนุษย์ ซึ่งมีพื้นที่มากมายที่จะเก็บข้อมูล และสามารถนำข้อมูลออกมานำเสนอได้อีก
4.Central processing unit (CPU) มีความสามารถอย่างไร
ตอบ . Centrl processing unit หรือ CPU เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ถ้าเปรียบกับการทำงานของมนุษย์ CPU ก็มีสมองเทียบเท่ากับมนุษย์ ที่มีความสามารถ ในการจัดการคำสั่ง และการประมวลผลที่มีความซับซ้อน เป็นอย่างมาก 8/17
ตอบ. 1.หน่วยประมวลผลในรูปแบบข้อมูล คือทำการประมวลผลทางคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานอันได้แก่การบวกและลบ และการทำการเปรียบเทียบข้อมูลสองข้อมูลว่ามีค่าเท่ากันหรือไม่ถ้าไม่จะมีค่ามากกว่าหรือน้อยกว่า
2.. หน่วยความจำ หรือ Memory ใช้สำหรับเก็บข้อมูล และ คำสั่ง
3. อุปกรณ์อินพุตและเอาต์พุต เป็นส่วนที่ใช้นำข้อมูลจากโลกภายนอกเข้ามาภายในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อนำมาประมวลผล
4.หน่วยควบคุมการทำงาน หรือ Control Unit เป็นส่วนที่ใช้เชื่อมต่อแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน หน้าที่หลักๆคือทำการอ่านข้อมูลคำสั่งที่อยู่ภายในหน่วยความจำ หน้าที่หลักอีกประการ คือควบคุมลำดับการทำงานของแต่ละขั้นตอนให้อยู่ในเวลาที่เหมาะสม
2. อุปกรณ์ (output ) ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ออกมาอย่างไรบ้าง
ตอบ. การแสดงผลทางจอภาพ เรียกได้อีกอย่างว่าเป็น Soft Copy คือ จะแสดงผลลัพธ์ขณะที่มีกระแสไฟฟ้าอยู่ อุปกรณ์คือ จอภาพคอมพิวเตอร์ทั่วไป และ การแสดงผลทางจอภาพ หรือเรียกได้อีกอย่างว่าเป็น Hard Copy คือ สามารถแสดงผลลัพธ์คงทนอยู่นาน อุปกรณ์ที่ใช้ คือ Printer
3. Hard disk - คือ
ตอบ. คลังเก็บข้อมูลของระบบ ซึ่งเปรียบเสมือนกับสมองของมนุษย์ ซึ่งมีพื้นที่มากมายที่จะเก็บข้อมูล และสามารถนำข้อมูลออกมานำเสนอได้อีก
4.Central processing unit (CPU) มีความสามารถอย่างไร
ตอบ . Centrl processing unit หรือ CPU เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ถ้าเปรียบกับการทำงานของมนุษย์ CPU ก็มีสมองเทียบเท่ากับมนุษย์ ที่มีความสามารถ ในการจัดการคำสั่ง และการประมวลผลที่มีความซับซ้อน เป็นอย่างมาก 8/17
วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ทำไง ? ถึงจะพูดภาษาเกาหลี เป็น ! (ภาค 12)
เรียนภาษาเกาหลี ตอนที่ 12 การผันรูปอดีต
มาเรียนรู้วิธีการผันคำกิริยาให้เป็นรูปอดีตกัน
ใน ตอนที่ 7 ได้สอนเกี่ยวกับการผันรูปㅂ/습니다 ไปเป็นรูป 어(아, 여)요 หากเข้าใจหลักการผันรูปในบทนั้นก็สามารถจะผันรูป 어(아, 여)요 ให้เป็นรูปอดีตได้
วิธีการผัน
1. 아요กรณีที่คำกิริยาี่เป็น -ㅏ และ -ㅗ เราจะตัด 다 ทิ้งไปแล้วเติม 았어요 (았습니다) เช่น
가다 >> 가+았어요>> รวบเป็น 갔어요 (รูปเต็มคือ 갔습니다) แปลว่าไป
만나다 >> 만나+았어요 >> รวบเป็น 만났어요 (รูปเต็มคือ 만났습니다) แปลว่าพบ
오다 >> 오+았어요 >> รวบเป็น 왔어요 (รูปเต็มคือ 왔습니다) แปลว่ามา
보다 >>보+았어요 >> คำนี้จริงๆจะไม่รวบคำก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็รวบแหล่ะ เป็น 봤어요(รูปเต็มคือ 봤습니다) แปลว่า ดู
2. 어요สำหรับคำกิริยาือื่นๆ ตัด 다 ทิ้งไปแล้วเติม 었어요 (었습니다) เช่น
먹다 >> 먹+었어요 = 먹었어요 (รูปเต็มคือ 먹었습니다) แปลว่ากิน
찍다 >> 찍+었어요 = 찍었어요 (รูปเต็มคือ 찍었습니다) แปลว่าถ่ายรูป, เดา, โค่น
배우다 >> 배우+었어요 = 배웠어요 (รูปเต็มคือ 배웠습니다) แปลว่าเรียน
쓰다 >> 쓰+었어요 รวบเสียงเป็น 썼어요 (รูปเต็มคือ 썼습니다) แปลว่าขียน
3. 여요 คำกิริยาที่ลงท้ายด้วย 하다 ตัด 다 ทิ้งไปแล้วเติม 였어요 เช่น
공부하다 >> 공부하+였어요 >> รวบเป็น 공부했어요 รูปเต็มคือ 공부했습니다) แปลว่าเรียน
운동하다 >> 운동하+였어요 >> รวบเป็น 운동했어요 รูปเต็มคือ 운동했습니다) แปลว่าออกกำลัง
จำง่ายๆพอเห็นรูป แบบนี้เมื่อไหร่ก็เปลี่ยนเป็น… 했어요 ได้เลย
มาเรียนรู้วิธีการผันคำกิริยาให้เป็นรูปอดีตกัน
ใน ตอนที่ 7 ได้สอนเกี่ยวกับการผันรูปㅂ/습니다 ไปเป็นรูป 어(아, 여)요 หากเข้าใจหลักการผันรูปในบทนั้นก็สามารถจะผันรูป 어(아, 여)요 ให้เป็นรูปอดีตได้
วิธีการผัน
1. 아요กรณีที่คำกิริยาี่เป็น -ㅏ และ -ㅗ เราจะตัด 다 ทิ้งไปแล้วเติม 았어요 (았습니다) เช่น
가다 >> 가+았어요>> รวบเป็น 갔어요 (รูปเต็มคือ 갔습니다) แปลว่าไป
만나다 >> 만나+았어요 >> รวบเป็น 만났어요 (รูปเต็มคือ 만났습니다) แปลว่าพบ
오다 >> 오+았어요 >> รวบเป็น 왔어요 (รูปเต็มคือ 왔습니다) แปลว่ามา
보다 >>보+았어요 >> คำนี้จริงๆจะไม่รวบคำก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็รวบแหล่ะ เป็น 봤어요(รูปเต็มคือ 봤습니다) แปลว่า ดู
2. 어요สำหรับคำกิริยาือื่นๆ ตัด 다 ทิ้งไปแล้วเติม 었어요 (었습니다) เช่น
먹다 >> 먹+었어요 = 먹었어요 (รูปเต็มคือ 먹었습니다) แปลว่ากิน
찍다 >> 찍+었어요 = 찍었어요 (รูปเต็มคือ 찍었습니다) แปลว่าถ่ายรูป, เดา, โค่น
배우다 >> 배우+었어요 = 배웠어요 (รูปเต็มคือ 배웠습니다) แปลว่าเรียน
쓰다 >> 쓰+었어요 รวบเสียงเป็น 썼어요 (รูปเต็มคือ 썼습니다) แปลว่าขียน
3. 여요 คำกิริยาที่ลงท้ายด้วย 하다 ตัด 다 ทิ้งไปแล้วเติม 였어요 เช่น
공부하다 >> 공부하+였어요 >> รวบเป็น 공부했어요 รูปเต็มคือ 공부했습니다) แปลว่าเรียน
운동하다 >> 운동하+였어요 >> รวบเป็น 운동했어요 รูปเต็มคือ 운동했습니다) แปลว่าออกกำลัง
จำง่ายๆพอเห็นรูป แบบนี้เมื่อไหร่ก็เปลี่ยนเป็น… 했어요 ได้เลย
ทำไง ? ถึงจะพูดภาษาเกาหลี เป็น ! (ภาค 11)
เรียนภาษาเกาหลี ตอนที่ 11 คำกิริยา+까요?
คำกิริยา+깔요? ใช้ในรูปประโยคคำถามเสมอ ใช้ 2 กรณีดังนี้1.เชิญชวนให้ทำกิจกรรมด้วยกัน2.ถามความเห็นว่าผู้พูดจะทำกิจกรรมนั้นดีมั๊ยมาดูวิธีการใช้กันดีกว่าค่ะ
กรณีไม่มีตัวสะกด ตัด 다 แล้วนำㄹไปเป็นตัวสะกดของคำสุดท้าย+까요?가다 - 갈까요?
กรณีมีตัวสะกด ตัด 다 แล้วเติม 을까요?먹다 - 먹을까요?
ตัวอย่าง(우리) 점심을 먹을까요? - เราไปทานอาหารกลางวันกันมั๊ย(우리) 내일 영화을 볼까요? - พรุ่งนี้ีเรา้ไปดูหนังกันมั๊ย
เรามักจะละคำว่า 우리 (แปลว่าเรา) ไว้ในฐานที่เข้าใจ
แต่หากพูดแบบนี้ 제가 한국어를 공보할까요? - ฉันจะเรียนภาษาเกาหลีดีมั๊ยจะเป็นการถามความเห็นเกี่ยวกับการกระทำของตัวเราคนเดียวอีกตัวอย่างนึงแล้วกัน 나는 호주에 갈까요? ฉันจะไปออสเตรเลียดีมั๊ย
มาดูวิธีตอบนะคะ
이번 주말에 만날까요? - วันหยุดนี้พบกันมั๊ยตอบรับ แบบนี้ค่ะ 네, 만납시다.ปฏิเสธแบบนี้นะคะ 아니오, 만나지 맙시다.
책을 읽을까요? - อ่านหนังสือกันมั๊ยตอบรับ แบบนี้ค่ะ 네, 읽읍시다.ปฏิเสธแบบนี้นะคะ 아니오, 읽지 맙시다.
ง่ายมั๊ย ต่อไปนี้ชวนคนไปเที่ยวได้แล้ว
ลองฝึกเปลี่ยนคำกิริยาต่อไปนี้เป็นรูปเชิญชวนนะคะ พร้อมตอบรับและปฏิเสธนะคะ1.커피를 마시다.2.등산에 가다.3.빵을 사다.4.테니스를 치다.
เฉลยค่ะ1.커피를 마실까요?네, 마십시다 . / 아니오, 마시지 맙시다.2.등산에 갈까요?네, 갑시다 . / 아니오, 가지 맙시다.3.빵을 살까요?네, 삽시다 . / 아니오, 사지 맙시다.4.테니스를 칠까요?네, 칩시다 . / 아니오, 치지 맙시다.
คำกิริยา+깔요? ใช้ในรูปประโยคคำถามเสมอ ใช้ 2 กรณีดังนี้1.เชิญชวนให้ทำกิจกรรมด้วยกัน2.ถามความเห็นว่าผู้พูดจะทำกิจกรรมนั้นดีมั๊ยมาดูวิธีการใช้กันดีกว่าค่ะ
กรณีไม่มีตัวสะกด ตัด 다 แล้วนำㄹไปเป็นตัวสะกดของคำสุดท้าย+까요?가다 - 갈까요?
กรณีมีตัวสะกด ตัด 다 แล้วเติม 을까요?먹다 - 먹을까요?
ตัวอย่าง(우리) 점심을 먹을까요? - เราไปทานอาหารกลางวันกันมั๊ย(우리) 내일 영화을 볼까요? - พรุ่งนี้ีเรา้ไปดูหนังกันมั๊ย
เรามักจะละคำว่า 우리 (แปลว่าเรา) ไว้ในฐานที่เข้าใจ
แต่หากพูดแบบนี้ 제가 한국어를 공보할까요? - ฉันจะเรียนภาษาเกาหลีดีมั๊ยจะเป็นการถามความเห็นเกี่ยวกับการกระทำของตัวเราคนเดียวอีกตัวอย่างนึงแล้วกัน 나는 호주에 갈까요? ฉันจะไปออสเตรเลียดีมั๊ย
มาดูวิธีตอบนะคะ
이번 주말에 만날까요? - วันหยุดนี้พบกันมั๊ยตอบรับ แบบนี้ค่ะ 네, 만납시다.ปฏิเสธแบบนี้นะคะ 아니오, 만나지 맙시다.
책을 읽을까요? - อ่านหนังสือกันมั๊ยตอบรับ แบบนี้ค่ะ 네, 읽읍시다.ปฏิเสธแบบนี้นะคะ 아니오, 읽지 맙시다.
ง่ายมั๊ย ต่อไปนี้ชวนคนไปเที่ยวได้แล้ว
ลองฝึกเปลี่ยนคำกิริยาต่อไปนี้เป็นรูปเชิญชวนนะคะ พร้อมตอบรับและปฏิเสธนะคะ1.커피를 마시다.2.등산에 가다.3.빵을 사다.4.테니스를 치다.
เฉลยค่ะ1.커피를 마실까요?네, 마십시다 . / 아니오, 마시지 맙시다.2.등산에 갈까요?네, 갑시다 . / 아니오, 가지 맙시다.3.빵을 살까요?네, 삽시다 . / 아니오, 사지 맙시다.4.테니스를 칠까요?네, 칩시다 . / 아니오, 치지 맙시다.
ทำไง ? ถึงจะพูดภาษาเกาหลี เป็น ! (ภาค 10)
เรียนภาษาเกาหลี ตอนที่ 10 คำกิริยา + 십시오
มาคุยกันเรื่อง คำกิริยา + 십시오 ดีกว่า
คำกิริยา + 십시오 ใช้พูดเพื่อขอร้อง หรือบอกให้ผู้ฟังทำสิ่งนั้นๆให้ตัวเราหรือตัวผู้ฟังเองก็ได้รูปกันเองแบบสุภาพของ 십시오 คือ 세요 มาดูวิธีการใช้กันดีกว่าค่ะ
กรณีไม่มีตัวสะกด ตัด 다 เติม 십시오 หรือ 세요가다 - 가십시오 หรือ 가세요แปลว่ากรุณาไป ไม่ได้อารมณ์ไล่นะคะ แต่ประมาณไปเถอะ ดูตัวอย่างประโยคดีกว่า파곤해서 먼저 집에 가세요.
피곤하다 - เหนื่อย เปลี่ยนรูปเป็น 파곤해서 เพื่อแสดงเหตุผล (ไว้เรียนตอนต่อๆไปค่ะ)먼저 - ก่อน집 - บ้านรวมๆ แปลว่า ถ้าเหนื่อยก็กลับบ้านไปก่อนเถอะ
มีตัวสะกด ตัด 다 เติม 으십시오 หรือ 으세요읽다 - 읽으십시오 หรือ 읽으세요แปลว่ากรุณาอ่าน เช่น
제 편지를 읽으세요.
편지- จดหมายรวมๆ แปลว่า กรุณาอ่านจดหมายของฉัน
มีบางคำที่ไม่เป็นไปตามกฎ (โปรดติดตามตอนต่อไป เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ)열다 - 여십시오 หรือ 여세요듣다 - 들으십시오 หรือ 들으세요
มาดูวิธีตอบนะคะ
파곤해서 먼저 집에 가세요. - ถ้าเหนื่อยก็กลับบ้านไปก่อนเถอะตอบรับ แบบนี้ค่ะ 네, 알게습니다. เข้าใจแล้วค่ะหรือ 네,가겠습니다. ค่ะกำลังจะไปค่ะการตอบรับขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ปฏิเสธแบบนี้นะคะ 아니오, 가지 마십시오 หรือ 가지 마세요.เพื่อนๆอาจจะเคยได้ยินในหนังเกาหลีที่พระเอกพูดกับนางเอกว่า가지 마 …อย่าไปเลย
มาดูคำที่ใช้กันบ่อยๆนะคะ
안녕히 가세요 - กรุณาไปดีๆนะคะ안녕히 계세요 - กรุณาอยู่ดีๆ อย่างปลอดภัยนะคะ안녕히 주무세요 - ราตรีสวัสดิ์
집에 들어가세요. - กรุณาเข้าบ้านไปนะคะ잡깐 기다리세요. - กรุณารอสักครู่นะคะ10분 쉬세요. - กรุณาพัก 10 นาที맛있게 드세요 - กรุณาทานอาหารให้อร่อยคะ คล้ายๆ Bon Apetite전녁에 전화하세요 - ตอนเย็นกรุณาโทรมานะคะ나중에 연락하세요 - กรุณาติดต่อมาภายหลังนะคะ해복하세요 - ขอให้มีความสุขนะคะ조심하세요 - โปรดระวังนะคะ조심하서 가세요 - กรุณาไปอย่างระมัดระวัง이걸 먹어 보세요 - กรุณาลองทานอันนี้ดูสิคะ
อันนี้ครูพูดบ่อย외우세요 - กรุณาจำนะคะ
อันนี้สำคัญ ใช้ซื้อของ주세요 - แปลตามศัพท์ แปลว่า กรุณาให้ ก็คือแปลว่าขอนั่นเองตัวอย่าง서울역 두장 주세요. - ขอตั๋วไปสถานีโซล 2 ใบค่ะ
(서울 - โซล / 역 - สถานี / 두장 - 2 ใบ..두 แปลว่า 2 ..장 คือลักษณะนามของเรียกของที่้เป็นแผ่น)
มาคุยกันเรื่อง คำกิริยา + 십시오 ดีกว่า
คำกิริยา + 십시오 ใช้พูดเพื่อขอร้อง หรือบอกให้ผู้ฟังทำสิ่งนั้นๆให้ตัวเราหรือตัวผู้ฟังเองก็ได้รูปกันเองแบบสุภาพของ 십시오 คือ 세요 มาดูวิธีการใช้กันดีกว่าค่ะ
กรณีไม่มีตัวสะกด ตัด 다 เติม 십시오 หรือ 세요가다 - 가십시오 หรือ 가세요แปลว่ากรุณาไป ไม่ได้อารมณ์ไล่นะคะ แต่ประมาณไปเถอะ ดูตัวอย่างประโยคดีกว่า파곤해서 먼저 집에 가세요.
피곤하다 - เหนื่อย เปลี่ยนรูปเป็น 파곤해서 เพื่อแสดงเหตุผล (ไว้เรียนตอนต่อๆไปค่ะ)먼저 - ก่อน집 - บ้านรวมๆ แปลว่า ถ้าเหนื่อยก็กลับบ้านไปก่อนเถอะ
มีตัวสะกด ตัด 다 เติม 으십시오 หรือ 으세요읽다 - 읽으십시오 หรือ 읽으세요แปลว่ากรุณาอ่าน เช่น
제 편지를 읽으세요.
편지- จดหมายรวมๆ แปลว่า กรุณาอ่านจดหมายของฉัน
มีบางคำที่ไม่เป็นไปตามกฎ (โปรดติดตามตอนต่อไป เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ)열다 - 여십시오 หรือ 여세요듣다 - 들으십시오 หรือ 들으세요
มาดูวิธีตอบนะคะ
파곤해서 먼저 집에 가세요. - ถ้าเหนื่อยก็กลับบ้านไปก่อนเถอะตอบรับ แบบนี้ค่ะ 네, 알게습니다. เข้าใจแล้วค่ะหรือ 네,가겠습니다. ค่ะกำลังจะไปค่ะการตอบรับขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ปฏิเสธแบบนี้นะคะ 아니오, 가지 마십시오 หรือ 가지 마세요.เพื่อนๆอาจจะเคยได้ยินในหนังเกาหลีที่พระเอกพูดกับนางเอกว่า가지 마 …อย่าไปเลย
มาดูคำที่ใช้กันบ่อยๆนะคะ
안녕히 가세요 - กรุณาไปดีๆนะคะ안녕히 계세요 - กรุณาอยู่ดีๆ อย่างปลอดภัยนะคะ안녕히 주무세요 - ราตรีสวัสดิ์
집에 들어가세요. - กรุณาเข้าบ้านไปนะคะ잡깐 기다리세요. - กรุณารอสักครู่นะคะ10분 쉬세요. - กรุณาพัก 10 นาที맛있게 드세요 - กรุณาทานอาหารให้อร่อยคะ คล้ายๆ Bon Apetite전녁에 전화하세요 - ตอนเย็นกรุณาโทรมานะคะ나중에 연락하세요 - กรุณาติดต่อมาภายหลังนะคะ해복하세요 - ขอให้มีความสุขนะคะ조심하세요 - โปรดระวังนะคะ조심하서 가세요 - กรุณาไปอย่างระมัดระวัง이걸 먹어 보세요 - กรุณาลองทานอันนี้ดูสิคะ
อันนี้ครูพูดบ่อย외우세요 - กรุณาจำนะคะ
อันนี้สำคัญ ใช้ซื้อของ주세요 - แปลตามศัพท์ แปลว่า กรุณาให้ ก็คือแปลว่าขอนั่นเองตัวอย่าง서울역 두장 주세요. - ขอตั๋วไปสถานีโซล 2 ใบค่ะ
(서울 - โซล / 역 - สถานี / 두장 - 2 ใบ..두 แปลว่า 2 ..장 คือลักษณะนามของเรียกของที่้เป็นแผ่น)
ทำไง ? ถึงจะพูดภาษาเกาหลี เป็น ! (ภาค 9)
เรียนภาษาเกาหลี ตอนที่ 9 คำคุณศัพท์ที่น่าสนใจ
คำคุณศัพท์ก็สามารถผันรูปต่างๆได้คล้ายๆกับคำกิริยาตอนนี้ขอรวบรวมคำคุณศัพท์เด่นๆที่ควรรู้จัก โดยจะใส่รูปทั่วไป และก็ผันเป็นรูปㅂ/습니다 กับรูป 요 ถ้ายังผันไม่เป็นก็ไปอ่านตอนที่ 6 กับ 7 ก่อนนะคะ
맛있다 (อร่อย) >>>맛있습니다>>> 맛있어요맛없다 (ไม่อร่อย) >>>맛없습니다>>> 맛없어요
재미있다 (สนุก) >>>재미있습니다>>> 재미있어요재미없다 (ไม่สนุก) >>>재미없습니다>>> 재미없어요
싸다 (ถูก) >>>쌉니다>>> 싸요비싸다 (แพง) >>>비쌉니다>>> 비싸요
쉽다 (ง่าย) >>>쉽습니다>>> 쉬워요어렵다 (ยาก) >>>어렵습니다>>> 어려워요
무겁다 (หนัก) >>>무겁습니다>>> 무거워요가볍다 (เบา) >>>가볍습니다>>> 가벼워요
어둡다 (มืด) >>>어둡습니다>>> 어두워요밝다 (สว่าง) >>>밝습니다>>> 밝아요
빠르다 (เร็ว) >>> 빠릅니다>>> 빨라요느리다 (ช้า) >>>느립니다>>> 느려요ฃ
크다 (ใหญ่) >>> 큽니다>>> 커요작다 (เล็ก) >>>작습니다>>> 작아요
많다 (มาก) >>> 많습니다>>> 많아요적다 (น้อย) >>>적습니다>>> 적어요
덥다 (ร้อน) >>>덥습니다>>> 더워요춥다 (หนาว) >>>춥습니다>>> 추워요
따뜻하다 (อบอุ่น) >>>따뜻합다>>>따뜻해요시원하다 (เย็นสบาย) >>>시원합다>>>시원해요
편하다 (สะดวก) >>>편합다>>>편해요불편하다 (ไม่สะดวก) >>>불편합다>>>불편해요
한가하다 (ว่าง) >>>한가합다>>>한가해요바쁘다 (ยุ่ง) >>>바쁩다>>>바빠요
좋다 (ดี) >>>좋습니다>>> 좋아요싫다 (ไม่ดี) >>>싫습니다>>> 싫어요
착하다 (ใจดี) >>>착합다>>>착해요나쁘다 (ไม่ดี เลว) >>>나쁩다>>>나빠요
คำคุณศัพท์ก็สามารถผันรูปต่างๆได้คล้ายๆกับคำกิริยาตอนนี้ขอรวบรวมคำคุณศัพท์เด่นๆที่ควรรู้จัก โดยจะใส่รูปทั่วไป และก็ผันเป็นรูปㅂ/습니다 กับรูป 요 ถ้ายังผันไม่เป็นก็ไปอ่านตอนที่ 6 กับ 7 ก่อนนะคะ
맛있다 (อร่อย) >>>맛있습니다>>> 맛있어요맛없다 (ไม่อร่อย) >>>맛없습니다>>> 맛없어요
재미있다 (สนุก) >>>재미있습니다>>> 재미있어요재미없다 (ไม่สนุก) >>>재미없습니다>>> 재미없어요
싸다 (ถูก) >>>쌉니다>>> 싸요비싸다 (แพง) >>>비쌉니다>>> 비싸요
쉽다 (ง่าย) >>>쉽습니다>>> 쉬워요어렵다 (ยาก) >>>어렵습니다>>> 어려워요
무겁다 (หนัก) >>>무겁습니다>>> 무거워요가볍다 (เบา) >>>가볍습니다>>> 가벼워요
어둡다 (มืด) >>>어둡습니다>>> 어두워요밝다 (สว่าง) >>>밝습니다>>> 밝아요
빠르다 (เร็ว) >>> 빠릅니다>>> 빨라요느리다 (ช้า) >>>느립니다>>> 느려요ฃ
크다 (ใหญ่) >>> 큽니다>>> 커요작다 (เล็ก) >>>작습니다>>> 작아요
많다 (มาก) >>> 많습니다>>> 많아요적다 (น้อย) >>>적습니다>>> 적어요
덥다 (ร้อน) >>>덥습니다>>> 더워요춥다 (หนาว) >>>춥습니다>>> 추워요
따뜻하다 (อบอุ่น) >>>따뜻합다>>>따뜻해요시원하다 (เย็นสบาย) >>>시원합다>>>시원해요
편하다 (สะดวก) >>>편합다>>>편해요불편하다 (ไม่สะดวก) >>>불편합다>>>불편해요
한가하다 (ว่าง) >>>한가합다>>>한가해요바쁘다 (ยุ่ง) >>>바쁩다>>>바빠요
좋다 (ดี) >>>좋습니다>>> 좋아요싫다 (ไม่ดี) >>>싫습니다>>> 싫어요
착하다 (ใจดี) >>>착합다>>>착해요나쁘다 (ไม่ดี เลว) >>>나쁩다>>>나빠요
ทำไง ? ถึงจะพูดภาษาเกาหลี เป็น ! (ภาค 8)
เรียนภาษาเกาหลี ตอนที่ 8 คำกิริยาที่น่าสนใจ
สิ่งที่สำคัญในการเรียนภาษาคือการท่องจำค่ะ คำกิริยาในภาษาเกาหลีมีมากมาย มหาศาล เริ่มจากคำง่ายๆก่อนนะคะ จะใส่รูปทั่วไป และก็ผันเป็นรูป ㅂ/습니다 กับรูป 요 ถ้ายังผันไม่เป็นก็ไปอ่านตอนที่ 6 กับ 7 ก่อนนะคะ
가다 (ไป) >>> 갑니다 >>> 가요오다 (มา) >>> 옵니다 >>> 와요
먹다 (กิน) >>> 먹습니다 >>> 먹어요마시다 (ดื่ม) >>> 마십니다 >>> 마셔요
만나다 (พบ) >>> 만납니다 >>> 만나요헤어지다 (แยกทาง) >>> 헤어집니다 >>> 헤어져요
듣다 (ฟัง) >>> 듣습니다 >>> 들어요*말하다 (พูด) >>> 말합니다 >>> 말해요읽다 (อ่าน) >>> 읽습니다 >>> 읽어요쓰다 (เขียน) >>> 씁니다 >>> 써요이야기하다 (คุย) >>> 이야기합니다 >>> 이야기해요보다 (ดู)>>> 봅니다 >>> 봐요
일어나다 (ตื่นนอน) >>> 일어납니다 >>> 일어나요자다 (นอน) >>> 잡니다 >>> 자요쉬다 (พักผ่อน) >>> 쉽니다 >>> 쉬어요
가르치다 (สอน) >>> 가르칩니다 >>> 가르쳐요공부하다 (เรียน study) >>> 공부합니다 >>> 공부해요배우다 (เรียน learn) >>> 배워요 >>> 배웁니다ไปเรียนที่โรงเรียน ใช้ 배우다 ส่วน 공부하다 เป็นการเรียนแบบว่า อ่านบทเรียนอยู่กับบ้าน일하다 (ทำงาน) >>> 일합니다 >>> 일해요
운동하다 (ออกกำลัง)>>> 운동합니다 >>> 운동해요
요리하다 (ทำอาหารอย่างพิเศษ) >>> 요리합니다 >>> 요리해요만들다 (make ถ้าจะพูดถึงทำอาหารทั่วๆไปใช้อันนี้) >>> 만듭니다 >>> 만들어요*빨래하다 (ซักผ้า) >>> 빨래합니다 >>> 빨래해요청소하다 (ทำความสะอาด) >>> 청소합니다 >>> 청소해요씻다 (ล้าง)>>> 씻습니다 >>> 씻어요목욕하다 (อาบน้ำ)>>> 목욕합니다 >>> 목욕해요
사다 (ขาย) >>> 삽니다 >>> 사요팔다 (ซื้อ) >>> 팝니다 >>> 팔아요*
알다 (รู้ เข้าใจ) >>> 압니다 >>> 알아요*모르다 (ไม่รู้) >>> 모릅니다 >>> 몰라요*
สิ่งที่สำคัญในการเรียนภาษาคือการท่องจำค่ะ คำกิริยาในภาษาเกาหลีมีมากมาย มหาศาล เริ่มจากคำง่ายๆก่อนนะคะ จะใส่รูปทั่วไป และก็ผันเป็นรูป ㅂ/습니다 กับรูป 요 ถ้ายังผันไม่เป็นก็ไปอ่านตอนที่ 6 กับ 7 ก่อนนะคะ
가다 (ไป) >>> 갑니다 >>> 가요오다 (มา) >>> 옵니다 >>> 와요
먹다 (กิน) >>> 먹습니다 >>> 먹어요마시다 (ดื่ม) >>> 마십니다 >>> 마셔요
만나다 (พบ) >>> 만납니다 >>> 만나요헤어지다 (แยกทาง) >>> 헤어집니다 >>> 헤어져요
듣다 (ฟัง) >>> 듣습니다 >>> 들어요*말하다 (พูด) >>> 말합니다 >>> 말해요읽다 (อ่าน) >>> 읽습니다 >>> 읽어요쓰다 (เขียน) >>> 씁니다 >>> 써요이야기하다 (คุย) >>> 이야기합니다 >>> 이야기해요보다 (ดู)>>> 봅니다 >>> 봐요
일어나다 (ตื่นนอน) >>> 일어납니다 >>> 일어나요자다 (นอน) >>> 잡니다 >>> 자요쉬다 (พักผ่อน) >>> 쉽니다 >>> 쉬어요
가르치다 (สอน) >>> 가르칩니다 >>> 가르쳐요공부하다 (เรียน study) >>> 공부합니다 >>> 공부해요배우다 (เรียน learn) >>> 배워요 >>> 배웁니다ไปเรียนที่โรงเรียน ใช้ 배우다 ส่วน 공부하다 เป็นการเรียนแบบว่า อ่านบทเรียนอยู่กับบ้าน일하다 (ทำงาน) >>> 일합니다 >>> 일해요
운동하다 (ออกกำลัง)>>> 운동합니다 >>> 운동해요
요리하다 (ทำอาหารอย่างพิเศษ) >>> 요리합니다 >>> 요리해요만들다 (make ถ้าจะพูดถึงทำอาหารทั่วๆไปใช้อันนี้) >>> 만듭니다 >>> 만들어요*빨래하다 (ซักผ้า) >>> 빨래합니다 >>> 빨래해요청소하다 (ทำความสะอาด) >>> 청소합니다 >>> 청소해요씻다 (ล้าง)>>> 씻습니다 >>> 씻어요목욕하다 (อาบน้ำ)>>> 목욕합니다 >>> 목욕해요
사다 (ขาย) >>> 삽니다 >>> 사요팔다 (ซื้อ) >>> 팝니다 >>> 팔아요*
알다 (รู้ เข้าใจ) >>> 압니다 >>> 알아요*모르다 (ไม่รู้) >>> 모릅니다 >>> 몰라요*
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)